ช่างแกะสลักหินอ่างศิลา (ทำครก)
การแกะสลักหินอ่างศิลาหรือภาษาช่างพื้นถิ่นที่นี่เรียกว่า “ตีหิน” เป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะ “การตีครก” หรือ “การแกะสลักครก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านดั้งเดิมของอ่างศิลามาแต่ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และมีชาวบ้านในหลายครัวเรือนได้ใช้เวลาว่างจากการทำประมงมาตีหินทำครกเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง หรือมีอีกหลายครัวเรือนได้หันมาประกอบอาชีพตีหินนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
นายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ เจ้าของร้านรุ่งเรืองศิลาทิพย์เป็นช่างตีหินทำครกอีกผู้หนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เชิงช่างแกะสลักครกหินมากจากบิดา (นายไฮ้ แซ่ลี้) และได้ใช้ภูมิรู้นี้ในการประกอบอาชีพมากว่า ๑๐ ปี พร้อม ๆ ไปกับฝึกฝนช่างรุ่นใหม่ ๆ ให้มีการเรียนรู้กรรมวิธีงานช่างทำครกหินให้แพร่หลายออกไป อันจะเป็นการช่วยอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาเชิงช่างแขนงนี้ไม่ให้สูญหายไปก่อนเวลาอันควร
ปัจจุบันการแกะสลักหินของนายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ไม่จำกัดเฉพาะการแกะสลักครกหินเท่านั้น หากแต่มีการแกะสลักเป็นรูปทรงต่าง ๆ อีกหลายแบบได้แก่ สิงโตหิน ช้างหิน โต๊ะหิน เจ้าแม่กวนอิม และแกะสลักเครื่องตกแต่งสวนทำด้วยหินเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์จากหินรูปแบบใหม่ค่อนข้างจะได้รับความสนใจจากลูกค้า และทำกำไรได้ดีกว่าการแกะสลักครกเดิม จึงมีผลให้นายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ ต้องหันไปพัฒนาการแกะสลักหินรูปแบบใหม่ให้เป็นทางเลือกของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนกรณีผลของการจัดเก็บข้อมูลในครั้งนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเป็นฐานข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการแกะสลักหินอ่างศิลา (ตีหิน) ให้มีระบบระเบียบตามกระบวนการจัดเก็บรวบรวมที่ชัดเจน ให้ผู้สนใจสามารถค้นคว้าศึกษาได้สะดวกรวดเร็วพร้อมไปกับช่วยอนุรักษ์งานช่างฝีมือพื้นบ้านไม่ให้สูญไป
การแกะสลักหินอ่างศิลา เป็นภูมิปัญญางานช่างที่มีจุดกำเนิดบริเวณแหลมแท่น ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (แต่เดิมเรียกว่าตำบลบางพระ) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เมื่อครั้งพระศิลาการวิจารณ์มาทำศิลาในการพระพุทธรัตน
สฐานที่แหล่มแท่น โดยได้อาศัยการสกัดหินแกรนิตตรงโขดหินบริเวณชายหาดออกเป็นก้อน ๆ แล้วจึงขนย้ายเข้ากรุงเทพฯ การทำหินในครั้งแรกนั้นจะเป็นการสกัดหินออกไปเพื่อใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมเป็นหลัก จนต่อมาในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีชาวจีนได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงแหลมแท่น และได้ริเริ่มสกัดโขดหินตรงแหล่มแท่นออกมาใช้ทำเป็นป้ายฮวงซุ้ย โม่หิน เป็นชิ้นงานในระยะแรก
การแกะสลักหินในรูปผลิตภัณฑ์ครกมีพัฒนาการต่อมาที่อ่างศิลาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อยด้วยการอาศัยหินแกรนิตที่อ่างศิลาที่มีเนื้อหินเป็นเหล็กเพชร เมื่อนำมาทำเป็นครกแล้วจะออกสีเนื้อมันปูหรือออกทางสีขาวนวลอย่างสวยงาม ส่วนรูปแบบของครกนั้นมีที่มาจากการดัดแปลงรูปทรงจากกระถางธูปไหว้เจ้าของจีน ซึ่งมีจุดสังเกตคือมีปุ่มนูนสองข้างครกหรือที่เรียกว่าหูอย่างเด่นชัด นอกจากนั้นช่างที่อ่างศิลายังได้พัฒนาปรับปรุงรูปแบบครกให้มีลักษณะเป็นรูปทรงอื่น ๆ อีกหลายแบบ ได้แก่ ครกขา ครกกะเบือ ครกฟักทอง และครกฟูเกลียว พร้อมไปกับออกแบบลวดลายแกะลงบนตัวครก เช่น ลายกระจัง ลายกงจักร ลายธรรมจักร ลายตาอวน (ลายข้าวหลามตัด) ลายเกลียว ฯลฯ
กรรมวิธีการผ่าหิน ตีหิน (แกะสลักหิน) ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของช่างที่สำคัญในการสังเกตด้วยตาและรับรู้ด้วยโสตประสาทเพื่อการจำแนกแยกแยะลักษณะของหินที่มีคุณภาพ และการสลักหินให้ขาดออกจากกันตามขนาดที่ต้องการ ภูมิรู้เช่นที่ว่านี้ช่างจะต้องมีประสาทการได้ยินเสียงที่ดีสามารถจำแนกแยกแยะเสียงจากการเคาะได้ออกว่า เสียงแบบใดเป็นตัวหินมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งไม่เกิดรอยร้าวภายใน เช่น มีเสียงดังกังวาลแจ่มใสตัวหินนี้จะใช้ได้ แต่ถ้าเสียงดังพลุ ๆ หรือดังอ่อนนุ่มแสดงว่าก้อนหินตายไม่เหมาะจะใช้แกะสลัก หรือการผ่าหินให้ขาดออกจากกันจะต้องวางแนวร่องในการตีหินไปตามชั้นหินเป็นต้น กระบวนการแกะสลักต้องมีหินที่เรียกว่า “หุ่น” เป็นแบบมีลักษณะเป็นหุ่นครกแบบคร่าว ๆ และมีเศษหินก้อนเล็กจะใช้ทำเป็นท่อนสำหรับทำไม้ตีพริก (สาก) ส่วนกรรมวิธีแกะสลักครกนั้นต้องเริ่มจากด้านในก่อนโดยเจาะเป็นหลุมลึกลงไปขนาดพอเหมาะกับความต้องการ จากนั้นจึงมาตกแต่งผิวด้านนอกให้เรียบร้อยด้วยเครื่องมือ (แต้) หรือด้วยการขัดหินด้วยเครื่องขัดหิน
การแกะสลักหินอ่างศิลาหากจะวิเคราะห์รูปแบบของผลงานที่ถูกทำขึ้นจะมีหลายชนิดเป็นต้นว่าครก โม่ ป้ายฮวงซุ้ย ใบเสมา หรือรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น กรณีของครกตามที่ได้มีการศึกษามานั้น งานช่างประเภทนี้ข้อมูลที่ได้จัดเป็นข้อมูลทั่วไปยังมีการสืบสานงานประเภทนี้อยู่มาก ส่วนการทำโม่หินในปัจจุบันข้อมูลส่วนนี้น่าเป็นห่วงมากขาดการสืบสานต่อมาภายหลังและน่าจะมีการศึกษาเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติมอีกครั้ง
วัฒนธรรมการรับประทานน้ำพริกของคนไทยมีมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยหากแต่กรรมวิธีในการปรุงรสยังไม่มีความพิถีพิถันมากนัก ส่วนมากจะเป็นเพียงคั่วให้หอมและตำให้ละเอียดผสมเกลือลงไปให้มีรสชาติเผ็ด เค็ม เท่านี้ก็นับว่าอร่อยได้รสชาติแล้วสำหรับคนในสมัยโบราณ เพราะเมื่อนำไปรับประทานร่วมกับปลาและผักสดซึ่งมีคุณค่าอาหารสูงก็นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่งน้ำพริกจึงจัดเป็นอาหารชูรสของไทยมาตลอด และการปรุงน้ำพริกให้อร่อยนี้นิยมทำกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี ก็คือการตำ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการประดิษฐ์เครื่องบดหรือเครื่องปั่นอาหารออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย และช่วยทุนแรงการตำน้ำพริกตามวิธีการเดิมเป็นอย่างยิ่งก็ตาม แต่ปรากฎว่าไม่มีเครื่องบดอาหารชนิดใดสามารถทำน้ำพริกให้แหลกละเอียดและมีรสชาติอร่อยถูกปากคนไทยได้เท่ากับการตำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีความสำคัญคู่กับน้ำพริกและวัฒนธรรมการปรุงอาหารของคนไทยที่ให้น้ำพริกมีความอร่อยถูกปากถูกใจขึ้นมาก็คือ ครก อุปกรณ์ปรุงอาหารคู่ครัวของคนไทยมาทุกยุคสมัย และเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตการกินอยู่ได้เป็นอย่างดี
“ครกไทย” ดั้งเดิมทำมาจากดินเผาและปูนแดง ส่วนไม่ตีพริกทำมาจากไม้เนื้อแข็งเพื่อให้มีน้ำหนักในการโขลกและตำให้แหลกละเอียดโดยเร็ว ครกแบบเดิมนั้นมีข้อเสียคือ ครกแตกพังง่ายต้องทำขึ้นใช้ใหม่อยู่เสมอ ๆ นอกจากนั้นครกสมัยโบราณยังนิยมทำด้วยไม้ขนาดใหญ่มาขุดเจาะทำเป็นหลุมครก ส่วนมากใช้สำหรับตำข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร เรียกครกชนิดนี้ว่า “ครกกระเดื่อง” ส่วนครกที่ใช้ในครัวเรือนมีขนาดเล็กและนิยมปั้นด้วยดิน เรียกว่า “ครกกะเบือ” ซึ่งครกแบบหลังนี้มีข้อจำกัดในการนำมาใช้ไม่สามารถตำน้ำพริกได้ครั้งละมาก ๆ และถ้าตำแรงเกินไปครกก็จะแตก
ต่อมาเมื่อช่างตีหินที่อ่างศิลาได้มีการประยุกต์แบบของครกหินขึ้นมาใช้ ซึ่งด้วยความแข็งแรงทนทาน และการโขลกน้ำพริกได้ละเอียดอย่างรวดเร็วกว่าครกดินเผาเดิม ครกหินจึงเริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในช่วงระยะแรกจะมีใช้กันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ผู้มีฐานนะก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มแพร่หลายไปยังประชาชนทั่วไปโดยลำดับ และด้วยคุณภาพของครกที่อ่างศิลาทั้งการเลือกใช้หินที่ดี มีกระบวนการผลิตการแกะสลักอย่างพิถีพิถันจึงส่งผลให้ครกอ่างศิลาเป็นผลิตภัณฑ์งานช่างที่เป็นที่ต้องการของลูกค้าเรื่อยมาซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชื่อ “ครกหินอ่างศิลา” ได้กลายเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ที่แหล่งทำครกในที่อื่น ๆ มักจะนำไปแอบอ้างเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความเชื่อถือยอมรับในครกหินของตนไปพร้อมกัน
ปัจจุบันการประกอบอาชีพตีหิน (แกะสลักหิน) กำลังได้รับผลกระทบจาก “ผลิตภัณฑ์หินทรายเทียม” ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายจากแหล่งผลิตที่ด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งด้วยรูปลักษณะที่สะดุดตาและราคาย่อมเยา และวัสดุที่ผลิตมีธรรมชาติใกล้เคียงหินแท้จึงทำให้ผลิตภัณฑ์หินทรายเทียมได้กลายเป็นสินค้าที่เข้ามาตีตลาด ผลิตภัณฑ์การแกะสลักหินอ่างศิลาเดิมให้ชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระดับกลางและล่างอันเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่นิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอ่างศิลาและบางแสนแห่งนี้
ชายฝั่งทะเลบริเวณบ้านอ่างศิลา บ้านแหลมแท่น อำเภอเมืองชลบุรี ชายหาดด้านหน้าและพื้นทีต่อเนื่องด้านในมีโขดหินแกรนิตที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินตรงเนินด้านหลังวัดอ่างศิลานอก และตามชายหาดที่เป็นโขดหินตั้งขึ้นระเกะระกะมากมายหลายขนาด หินแกรนิตที่งอกขึ้นมาตามแนวชายฝั่งตั้งแต่บ้านอ่างศิลาลงไปจัดได้ว่าเป็นหินแกรนิตที่ดี และด้วยความอุดมสมบูรณ์จากแหล่งหินธรรมชาติและตัวหินแกรนิตมีคุณภาพ พื้นที่แหล่งหินแถบอ่างศิลาและแหลมแท่นได้เป็นที่สนใจของช่างทำหินในช่วงต่าง ๆ ได้เดินทางมาตั้งหลักปักฐานออกขุดตัดหินแกรนิตแห่งนี้ไปใช้สอยในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด
โดยการทำหินครั้งแรกเริ่มต้นที่แหลมแท่น ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี ก่อนเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยช่างชื่อ “พระศิลาการวิจารณ์” เพื่อนำแผ่นหินไปใช้ในการพระพุทธรัตนสฐานในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาจึงมีชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยตรงโขดหินที่แหลมแท่นแล้วเริ่มสกัดหิน ผ่าหินทำเป็นโม่ ทำเป็นป้ายฮวงซุ้ย เป็นชิ้นงานแรก ๆ ต่อมาจึงได้พัฒนามาแกะสลักครกหินขึ้นที่อ่างศิลา ช่างตีหินคนสำคัญในช่วงแรกได้แก่ นายหยงยู้ แซ่เจ็ง นายแปะรู้ แซ่ลี่ นายเล่าโง้ว แซ่โง้ว นายเหนี่ยวอิ้ว แซ่ตั้ง นายบักท้ง แซ่ตั้ง นายพะเห้ง แซ่ลี่ และนายตงเห้ง แซ่เจ็ง
การแกะสลักครกหินหรือ “การตีครก” “ตีหิน” ของช่างแถบอ่างศิลามาเริ่มขึ้นภายหลังเมื่อมีการควบคุมการขุดตัดหินตรงแหลมแท่น ช่างจึงได้เริ่มขยับขยายมาที่อ่างศิลาด้วยการอาศัยแหล่งหินแกรนิตด้านหลังวัดอ่างศิลานอกเป็นวัสดุหลักทดแทนหินจากแหลมแท่นเดิม ในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๙–๒๕๐๐ ได้มีชาวจีนรุ่นหลังได้เดินทางเข้ามาประกอบอาชีพช่างตีหินเพิ่มมากขึ้น เช่น นายซิวเซ็ง แซ่เอี้ยว นายลุ้น แซ่แต้ (บิดาของนายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์) เป็นต้น ช่างจากจีนที่เข้ามาส่วนใหญ่เคยเป็นช่างทำหินจากจีนมาก่อน ฝีมือยังไม่ถึงขั้นแกะสลักเป็นรูปทรงที่สวยงามได้
การเข้ามารับงานตีหินทำครกในชั้นแรกจึงเป็นไปได้ไม่ยากนัก ในช่วงพ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมาธุรกิจการแกะสลักครกหินได้กลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และจอมพลสฤิษด์ ธนะรัฐต์ ได้พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและตากอากาศขึ้นที่บางแสน การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของผู้คนจึงเพิ่มปริมาณขึ้นไปพร้อมกัน ซึ่งการพัฒนาการท่องเที่ยวนี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญต่อการประกอบอาชีพครกหินให้ขยายตัวเช่นเดียวกัน จนต้องชักชวนให้ชาวบ้านอื่น ๆ ในพื้นที่บ้านอ่างศิลาและใกล้เคียงได้หันมาทำครกหินด้วยกัน จนในที่สุดได้กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมของหมู่บ้านแถบอ่างศิลาไปโดยปริยาย
การกำเนิดการแกะสลักหิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเรื่องของ “น้ำพริก” นับเป็นอาหารชูรสของคนไทยมาโดยตลอด และการปรุงน้ำพริกให้อร่อยที่นิยมทำกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี คือ “การใช้วิธีการตำ” ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีเครื่องมือบดอาหารทำน้ำพริกให้แหลกละเอียดได้อย่างรวดเร็วทันใจมากมายหลายแบบแล้วก็ตาม ทว่าการใช้เครื่องมือทุ่นแรงเหล่านั้นกลับไม่สามารถช่วยให้รสชาติการทำน้ำพริกได้อร่อยถูกปากเท่ากับการตำอยู่ดี หากถามว่า การรับรู้ถึงรสชาติถึงความกลมกล่อมจากการตำด้วยครก ข้างต้นเป็นการคิดเอาเองหรือเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งตามการประกอบอาหารของครอบครัวไทยเท่าที่ผ่านมาในหลายครอบครัวต่างก็ได้ลงความเห็นว่า การตำน้ำพริกด้วยครกจะช่วยชูรสน้ำพริกให้เอล็ดอร่อยมากกว่าเดิม
คนไทยสมัยก่อนใช้ครกกะเบือในการบดอาหารให้แหลกเรื่อยมา จนถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการติดต่อค้าขายกับเมืองจีน จึงทำให้วิถีการกินอยู่บ้างด้านของคนไทยให้เปลี่ยนแปลงไป เช่นการใช้ครกหินมาตำน้ำพริกแทนครกดินเผาตามแบบเดิม โดยเชื่อว่าครกหินสามารถโขลกเครื่องน้ำพริกได้ละเอียดรวดเร็วกว่าครกดินเผา ความสะดวกจากการใช้งานของครกหินรูปแบบใหม่จึงมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ครกหินได้รับความนิยมในเวลาต่อมา และมีแหล่งทำครกดั้งเดิมอยู่ที่จังหวัดชลบุรีบริเวณตำบลแสนสุข ตำบลอ่างศิลา และตำบลเสม็ด โดยเฉพาะที่ตำบลอ่างศิลาเป็นแหล่งทำครกหินที่สำคัญ และมีแหล่งผลิตเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินแกรนิตที่ตำบลอ่างศิลาถือว่าเป็นหินที่นำมาทำครกได้เป็นอย่างดี
กรรมวิธีแกะสลักหิน
การแกะสลักหิน หรือ “การตีนหิน” หรือ “การทำครก” ในเอกสารฉบับการวิเคราะห์นี้คือ คำ หรือความหมายที่นำมาใช้เพื่อการขยายความภูมิปัญญาเชิงช่างเรื่องการแกะสลักหินที่อ่างศิลาเป็นหลัก ซึ่งการถือกำเนิดที่นี่เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นต้นแบบให้ช่างในถิ่นอื่น เช่น เขาอีโต้ ตำบลบางพระ จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลหินกอง จังหวัดสระบุรี อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้วเป็นต้น ส่วนวิธีการสำหรับนำไปใช้ในการแกะสลักของแต่ละท้องถิ่นได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามช่วงเวลา ส่วนกรณีการแกะสลักหินหรือการทำครกที่อ่างศิลานั้นบางส่วนยังคงเทคนิคกรรมวิธีในการแกะสลักหินแบบเดิมไว้โดยสามารถจำแนกวิธีการได้ดังนี้
๑. เครื่องมือ เครื่องมือแกะสลักหินใช้ทำครกแบบดั้งเดิมของช่างพื้นบ้านอ่างศิลาและใกล้เคียงมีลักษณะไม่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่เน้นการใช้ด้วยมือเป็นหลัก ไม่มีเครื่องมือทุ่นแรงมากนัก และมีเครื่องมืออุปกรณ์บางตัวช่างต้องทำมันขึ้นมาเพื่อใช้ประจำตัว เพื่อให้สามารถหยิบจับได้ถนัดคือและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้ด้วยมือของช่างอ่างศิลาสามารถจำแนกตามชื่อเครื่องมือแบบพื้นบ้านดังนี้คือ ลิ่ม จ๋ำ แต้ พก และพง (ดูตารางที่ ๑)
ตารางที่ ๑ เครื่องมือตีหินแบบดั้งเดิม
เลขที่ ชื่อ รูปลักษณะการใช้งาน ขนาด ภาพประกอบ
๑ ลิ่ม เหล็กกล้าตัวด้ามกลม ส่วนปลายแบนใช้สำหรับผ่าหิน ด้วยค้อน ๑๔ ปอนด์ กว้าง ๑๑/๒ นิ้ว
ยาว ๘ นิ้ว
๒ จ๋ำ เหล็กปลายแหลมตัวใหญ่ไว้ขึ้นรูป ตัวเล็กไว้เก็บแต่ง ยาว ๖-๗ นิ้ว
กว้าง ๑ นิ้ว
๓ แต้ เหล็กปลายตัดไว้แต่งมุม
ลบเหลี่ยม ยาว ๗ นิ้ว
๔ พก เหล็กพกค้อนใหญ่ใช้เชือกมัด
ยาว ๑๖ นิ้ว ปลายพกแบนชุบแข็ง ใช้ผ่าหิน ด้วยค้อน ๑๔ ปอนด์ หนา ๑๑/๒ นิ้ว
ยาว ๒.๔ นิ้ว
๕ พง (ปากเขี้ยว) เหล็กหนาส่วนปลายแบนทำเป็นซี่ (มีดเล็บ) หุ้มด้วยทองเหลือง ใช้เกลาแต่งผิวหินปลายแบนเก็บละเอียดเรียก “พงเกี้ย” ยาว ๖ นิ้ว
๖ ต๊อก เหล็ก ๑ นิ้ว ต่อปลายด้วยมีด เล็ก ขนาด ๑ ซ.ม. และหุ้มทองเหลืองใช้แกะแต่งส่วนละเอียด ยาว ๗ นิ้ว
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการแกะสลักอื่น ๆ อีกได้แก่ ค้อนลบเหลี่ยม ค้อนเก็บละเอียด ไม้ลาก วงเวียน (โบราณทำจาไม้ไผ่) หมึกจีน น้ำ เป็นต้น
๒. การผ่าหิน กรรมวิธีผ่าหินเมื่อก่อนไม่มีการใช้ระเบิดเพื่อการย่อยหิน หรือเครื่องมือกล (Power Tools) เพื่อการสกัด ผ่าหิน แกะสลัก ฯลฯ เช่นทุกวันนี้ หากแต่ขั้นตอนในการทำงานจะใช้เครื่องมือที่คิดขึ้นจากภูมิปัญญาของช่างเอง หรือใช้เครื่องมือที่ใช้ด้วยมือ (Hand Tools) เป็นอุปกรณ์หลัก เช่นการผ่าหิน ก็จะนำ “ลิ่ม” มาเจาะรูลงบนหินให้เป็นแนวตามขนาดยาว (กว้าง) ของก้อนหิน (แผ่นหิน) ก่อน แล้วจึงใช้ “จั๋ม” (เหล็กสกัด) เจาะรูให้ลึกลงไป หลักจากนั้นจึงใช้เหล็กลิ่มอัดด้วยการใช้ค้อนใหญ่ตอกให้ก้อนหินแตกออกจากกันเป็นก้อนย่อม ๆ
การผ่าหินอีกแบบหนึ่งเป็นการผ่าหินขนาดใหญ่มีการใช้เครื่องมือกล และเครื่องมือทุ่นแรงเข้าช่วย ได้แก่ เครื่องมือลม ปั๊มลม ลิ่มและปีก หรือ “ลิ่มเบ่ง” เป็นต้น การผ่าหินแบบนี้กรรมวิธีจะต้องเริ่มจากการใช้ค้อนลมเจาะรูนำลงบนหินก่อนเป็นช่วง ๆ ไปตามแนวเส้นที่แบ่งไว้ รูที่เจาะมีความลึกตื้นจะขึ้นอยู่กับขนาดความหนา ความใหญ่ของก้อนหิน (ในการนี้ก่อนเจาะต้องเลือกใช้ก้านเจาะให้เหมาะสมกับความหนาของก้อนหินด้วย) หลังจากนั้นถ้าใช้ลิ่มเบ่งแบบเดิมก็ให้สอดปีกส่วนของปลายแหลม (หรือหัว) ตั้งขึ้นจากช่องที่เจาะไว้ แล้วตามด้วยสอดลิ่มไว้ตรงกลางระหว่างปีกให้ครบตามรูที่ได้เจาะวางเข้าไว้ หลังจากนั้นจึงใช้ค้อนปอนด์ (น้ำหนักของค้อนหนักเบาขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนหิน) ตีลงบนโคนลิ่มของแต่ละจุดสลับกันไปมาจนก้อนหินค่อย ๆ แยกออกจากกัน กรณีการใช้ลิ่มเบ่งขนาดใหญ่ “ตัวลิ่มและปีก” จะประกอบเป็นชุดเดียวกัน วิธีใช้เพียงแต่สอดใส่ชุดอุปกรณ์นี้ลงไปก็สามารถใช้การได้โดยทันที ไม่ยุ่งยากเหมือนแบบเดิม
การผ่าหินตามกรรมวิธีแบบเก่า ต้องใช้เวลานานด้วยการทอนหินหรือลดขนาดของหินให้มีขนาดย่อมลง และให้ได้รูปที่ต้องการ กรรมวิธีแบบนี้ยังมีใช้กันอยู่บ้างด้วยไม่ต้องลงทุนมาก และสามารถใช้เครื่องมือที่ใช้ด้วยมือ (Hand Tools) แบบพื้น ๆ ได้ เช่น ใช้เหล็กสกัดตีลงบนก้อนหินที่ต้องการจะผ่าให้เกิดเป็นหลุมและเป็นแนวตามระยะที่ต้องการจะผ่า แล้วใช้ลิ่มขนาดยาว ๑ ฟุต สอดลงไปและพยายามตีลงไปที่โคนลิ่มให้หนักเฉลี่ยให้ทั่ว ตีไปสักพักก้อนหินจะค่อย ๆ แตกร้าวแยกออกจากกัน
ข้อควรระวัง การใช้แรงตีของค้อนต้องมีน้ำหนักแรงที่สม่ำเสมอ และตีซ้ำ ๆ ตรงโคนลิ่มให้เฉลี่ยทั่วกัน อีกทั้งขณะผ่าหินต้องพยายามสังเกตแนวของหินด้วยว่า แนววิ่งไปทางใดมากที่สุด เวลาผ่าหรือตัดหินให้เน้นไปตามแนวนั้น ซึ่งแนวของหินมีลักษณะเป็นเสี้ยนเกล็ดหินเล็ก ๆ วิ่งไปแนวเดียวกันบ้าง ย้อนกลับบ้าง วางขวางบ้างไม่แน่นอน การผ่าหรือตัดหินต้องตีไปตามแนวที่วิ่งไปทางเดียวกันให้มากที่สุด เพราะจะทำให้ตัดหรือสกัดให้ขาดได้ง่ายที่สุด การไม่ตัดหินตามแนวจะทำให้ได้เนื้อหินน้อย เพราะหินจะเสี้ยวไม่เป็นไปตามกำหนด เช่น แทนที่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมกลับไม่เป็นรูปอะไรเลย เพราะหินที่ตัดไว้นั้นเสี้ยวมากไม่สามารถบังคับแนวเส้นที่จะตัดได้ตามขนาดต้องการ
๓. ขั้นตอนการแกะสลัก
การแกะสลักหินของช่างพื้นบ้านอ่างศิลาและเสม็ด เมื่อก่อนมีกรรมวิธียุ่งยากมากเพราะต้องไปสลักหินจากโขดหินชายทะเลที่แหลมแท่น หรือหลังวัดอ่างศิลา เพื่อให้ได้ขนาดของแท่งหินที่ได้ส่วนประมาณยาว ๒ เมตร กว้าง ๑ เมตร หนา ๑ เมตร และสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายออกไปใช้งานได้ หลังจากนั้นจึงนำมาตัดและย่อยเป็นก้อนให้เล็กลงตามลำดับจนได้ขนาดหินสูง ๑๐ - ๑๒ นิ้ว กว้าง ๑๐ นิ้ว สำหรับทำโม่ ส่วนทำครกมีความสูงประมาณ ๔-๖ นิ้ว กว้าง ๗-๘ นิ้ว ส่วนเศษหินก้อนเล็ก ๆ จะถูกย่อยให้เป็นท่อนสำหรับทำไม้ตีพริก (สาก) (โดยหินที่ถูกย่อยแล้วเรียกว่า “กั๊ก” เป็นขนาดแท่งสี่เหลี่ยมมีขนาดพอเหมาะสามารถนำไปสกัดเป็นครกหรือเป็นโม่ได้ กรณีกรรมวิธีการแกะสลักครกหรือ ตีครก (ภาษาท้องถิ่น) ตามแบบดั้งเดิมนั้นมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนแรก ต้องสกัด (ตัดหิน) ให้ได้หินที่เรียกว่า “หุ่น” (ก้อนหินเป็นแบบ) ก่อน ถ้าจะแกะสลักครกก็ต้องมีหุ่นครกเป็นเค้าโครงคร่าว ๆ ก่อน เป็นแบบรูปครกตามขนาดและสัดส่วนโดยรวม ซึ่งหุ่นจะใช้แกะสลักครกนั้นจะมีหลายขนาดต่างกันไปตามแต่ความคิดของช่างจะทำครกแบบไหน (ครกขา ครกโบราณ ครกฟักทอง ครกกะเบือ) มีตั้งแต่ขนาดปากกว้าง ๒ นิ้ว ไล่ไปจนถึงขนาดใหญ่สุดปากกว้าง ๑๒ นิ้ว การเริ่มต้นแกะสลักครกต้องใช้ “จ๋ำ” (เหล็กสกัด) สกัดผิวหน้าของหินให้พอเรียบเสมอกันก่อน แล้วจึงค่อยโกลนรูปด้านข้างพอให้ได้รูปร่างแบบหยาบ ๆ ของครก เสร็จแล้วใช้ “จ๋ำ” ตัวเล็กมีปลายแหลม สกัดเก็บแต่งด้านหน้าผิวหินให้เรียบขึ้น (ภาษาช่างท้องถิ่นอ่างศิลาเรียกว่า “แพ้หน้าจ๋ำ” แล้วต่อมาใช้ “พง” (มีรูปคล้ายค้อน ดูตารางที่ ๑) สับผิวหน้าให้เรียบ
ขั้นต่อไปจึงใช้ไม้ฉาก (ทำจากไม้) และ “ไม้กี๊” มาชุบหมึกจีนลากเส้นตรงตัดกันเพื่อหาศูนย์กลางให้ได้แล้วจึงนำวงเวียนไม้ไผ่ (แบบโบราณ) จุ่มหมึกจีนตั้งให้ได้ศูนย์กลางแล้วลากตามความกว้างและความยาวที่ต้องการโดยมีสายเชือกเป็นตัวกำกับระยะให้ได้ส่วน
ขั้นตอนที่สอง ใช้เหล็กสกัด (สกัด) เจาะลงไปในหุ่นที่ลากเส้นกำกับขนาดไว้ให้เป็นหลุมลงไปโดยขั้นนี้อาจใช้จ๋ำใหญ่มาสกัด พอขุดลงไปสักระยะหนึ่งพอได้ขนาดก็ใช้เหล็กสกัดที่เรียกว่า “แต้” สกัดผิวนอกครกให้เป็นทรงอย่างต้องการ และควรใช้ “กี๊” เชือกวัดวาดรอบครกเพื่อกำหนดความสูงของครก (จากปากถึงก้น) ไว้เป็นแนวสำหรับตัดก้นครกให้เรียบร้อย เพื่อตัดก้นครกพอได้ขนาดแล้วจึงใช้ “พง” สับหรือเคาะผิวให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
๔. เคล็ดลับเชิงกลวิธี การแกะสลักครกต้องเริ่มจากด้านในก่อนโดยเจาะให้เป็นหลุมลึกลงไปตามขนาดที่ต้องการ (อาศัยประกอบด้วยสายตา) เหตุที่ต้องแกะสลักจากด้านในก่อนเนื่องจากว่าหินด้านในหนากว่าด้านนอก การเจาะหินลงไปกระทำได้ยากต้องใช้แรงในการตี หากตีแรงโดยไม่ระมัดระวังอาจทำให้ครกบิ่นหรือแตกได้ง่าย หรือหากทำด้านนอกก่อนยิ่งทำให้เนื้อหินส่วนที่เป็นปากครกบางยิ่งขึ้น (เพราะควบคุมขนาดความหนาบางของปากครกไม่ได้) และเมื่อถึงขั้นตอนเจาะขุดหลุมด้านในแล้วจะทำได้ยากเป็นเท่าตัว
กรณีการขัดผิวหินให้เรียบเมื่อก่อนจะใช้หินทราย หากเป็นด้านในจะใช้ทรายใส่ลงไปในครกแล้วตำจนกว่าผิวครกด้านในจะเรียบเสมอกัน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาหลายวันกว่าผิวจะเรียบ ปัจจุบันมีเครื่องทุ่นแรงคือ “เครื่องเจียหิน” ช่วยทุ่นแรงและเวลาได้มาก ส่วนเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาแกะสลักครกควรแกะบนพื้นหญ้าด้วยมีแรงสะท้อนน้อยและกันกระแทกได้ดีกว่าพื้นไม้หรือปูน (เพราะมีแรงสะท้อนมากจะทำให้หินที่ถูกแรงตีแตกบิ่นได้ง่ายหรือจะทำให้มือที่แกะสลักแตกเป็นแผล)
สรุปผลการวิเคราะห์
การแกะสลักหิน (ครกหิน) ถือกำเนิดขึ้นจากวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นจังหวัดชลบุรี (ตำบลอ่างศิลา ตำบลเสม็ด) เมื่อช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา เป็นความต้องการมีครกหินสำหรับตำน้ำพริกมาใช้ทดแทนครกดินเผาแบบเดิมที่ไม่ทนทานและแตกหักง่าย ซึ่งการพัฒนารูปแบบของครกในระยะแรกได้รับแรงบันดาลใจมากจาก “กระถางธูปของจีน” ที่ใช้ไหว้เจ้าโดยรูปทรงของครก ในช่วงแรกครกโบราณยังคงส่วนรูปลักษณะส่วนของหูกระถางธูปไว้ ด้วยการแกะสลักเป็นปุ่มนูนเห็นได้อย่างชัดเจน ต่อมาจึงได้พัฒนารูปแบบครกออกมาเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้แก่ ครกขา ครกกะเบือ ครกฟักทอง ครกพูเกลียว เป็นต้น พร้อม ๆ ไปกับมีการนำลวดลายไทยบางแบบมาใช้ตกแต่งลงบนครกให้เกิดความสวยงามเพิ่มเติมขึ้น
กระบวนการแกะสลักครกหินช่างจะต้องมีความเข้าใจและรู้จักธรรมชาติของหินแต่ละตัว (ก้อน) ที่จะใช้แกะสลัก สามารถใช้การรับรู้ด้วยโสตประสาททดสอบตัวหินว่ามีคุณภาพเหมาะสม (แข็งแกร่งเนื้อแน่น ไม่มีรอยร้าวภายใน) ก่อนจะนำมาแกะสลัก กรณีของความเชี่ยวชาญเช่นนี้ช่างแกะสลักหินต้องใช้เวลาบ่มเพาะประสบการณ์เป็นเวลานาน จนช่างสามารถจะใช้การเรียนรู้ด้วยการฟังแยกแยะคลื่นเสียงที่เกิดบนตัวหินได้อย่างแม่นตรง ส่วนขั้นตอนการแกะสลักหินจะต้องเริ่มด้วยการขึ้นรูปโกลนรูปเป็นรูปทรง (หุ่น) ของครกแบบหยาบ ๆ ก่อน แล้วจึงวัดขนาดและขุดเจาะลงไปเป็นหลุมในส่วนกลาง พอได้ที่จึงค่อยมาตกแต่งหุ่นรูปนอกที่ขึ้นรูปไว้ให้เรียบร้อย
งานผลิตภัณฑ์ทอเสื่อกก
การทอเสื่อกก เป็นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ที่นำเอาต้นกกมาแปรสภาพให้เป็นเส้น ย้อมสี แล้วสานทอให้เป็นแผ่นผืน เพื่อนำมาใช้ปูลาดรองนั่งหรือนอน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ตลอดจนทำพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อ
เสื่อกก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีใช้กันอยู่ทั่วไปทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะต้นกกเป็นพืชธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นที่นำต้นกกมาแปรสภาพก็มีลักษณะคล้ายกัน หรือได้อิทธิพลทางความคิดจากกันและกัน ทำให้เสื่อกกถูกจัดได้ว่าเป็นปัจจัยจำเป็นอย่างหนึ่ง ต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในอดีต
ที่ตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา คือภูมิภาคหนึ่งที่มีการสืบสานภูมิปัญญาทางด้านการทอเสื่อกกนี้มายาวนาน จนปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาทดแทนการใช้เสื่อกกมากมายให้เลือก นับตั้งแต่เสื่อน้ำมัน พรม กระเบื้องปูพื้น และอื่นๆ ทำให้กระแสความนิยมในการใช้เสื่อกกลดลง และคนรุ่นใหม่ก็สนใจในภูมิรู้ด้านนี้น้อย
การศึกษาข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นการทอเสื่อกกของชุมชนนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางภูมิปัญญาของท้องถิ่น และปัญหาที่เสี่ยงต่อการสูญสิ้นของภูมิปัญญานี้ ว่ามีมากหรือน้อย และด้วยปัจจัยหรือองค์ประกอบใด เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์หรือแก้ไข สำหรับบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป
การทอเสื่อกก ของชาวไทยเชื้อสายเขมร ที่ตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินสืบเนื่องกันมาในระบบครอบครัว นับตั้งแต่บรรพชนจนถึงปัจจุบัน เกือบทุกครัวเรือนที่ลูกหลานต่างซึมซับรับรู้ภูมิปัญญาด้านการทอเสื่อนี้เข้าไว้ในตัว
แม้ชาวชุมชนจะมีอาชีพหลักทางด้านเกษตรกรรมการทำนาข้าว และการเลี้ยงกุ้ง แต่พื้นที่บางส่วนก็ถูกกันไว้เพื่อทำนากก บ้านใดปลูกข้าวน้อยก็จะปลูกกกมาก บ้านใดปลูกข้าวมากก็เหลือพื้นที่ไว้ปลูกกกบ้าง เพื่อให้ได้วัตถุดิบมาทอเป็นเสื่อสร้างรายได้เสริมยามว่างจากเกษตรกรรม
ครั้นมีหน่วยงานทางราชการเข้ามาแนะนำส่งเสริม ทั้งการพัฒนาปรับปรุงการทำนากก ทั้งการทอเสื่อ ตามนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ธุรกิจชุมชน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดการตื่นตัวของชาวชุมชน มีการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการเป็นกลุ่มแม่บ้านทอเสื่อทั้งหมู่ที่ ๘ และหมู่ที่ ๙ สร้างความเข้มแข็ง สร้างภูมิคุ้มกันแก่ภูมิปัญญาท้องถิ่นการทอเสื่อนี้ให้มีความมั่นคงขึ้น
แม้ปัจจุบันกระแสความนิยมในการใช้เสื่อกกจะลดลง ค่านิยมในการทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมของคนรุ่นใหม่มีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภัณฑ์เสื่อกกของชุมชนทั้งหมู่ ๘ และหมู่ ๙ ตำบลดงน้อย ก็ยังมีการทำออกมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะคนหนุ่มคนสาวถึงแม้จะอยู่ที่โรงงาน แต่คนแก่คนเฒ่าที่เฝ้าบ้านรอการเก็บเกี่ยวผลิตผลด้านการเกษตร ต่างไม่ปล่อยเวลาว่างให้ผ่านไปโดยสูญเปล่า การทอเสื่อกกของชุมชน จึงยังคงอยู่ได้เสมอมาจนถึงวันนี้
การทอเสื่อ เป็นไปเพื่อการใช้สอยในครัวเรือน โดยท้องถิ่นใดมีต้นกกก็ทอเสื่อกก ท้องถิ่นใดมีต้นกระจูดก็ทอเสื่อกระจูด เสื่อในอดีตเป็นของใช้ที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับปูนั่งหรือนอน จนถึงกับมีคำกล่าวว่า บ้านใดไม่มีเสื่อใช้ ถือว่า พ่อ แม่ ลูก เกียจคร้านไม่มีฝีมือ หนุ่มสาวที่แต่งงานตั้งครอบครัวใหม่หรือขึ้นเรือนใหม่ จะต้องเตรียมที่นอน หมอน มุ้ง ส่วนเสื่อฝ่ายหญิงจะจัดเตรียมทอสะสมไว้เป็นของขึ้นเรือน นอกจากนี้ยังทอเพื่อถวายเป็นไทยทานให้กับวัด เพื่อบำรุงศาสนาในฤดูเทศกาลต่างๆ และยังนำเสื่อที่ทอไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย
ชาวชุมชุนหมู่ที่ ๘ และ ๙ ตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็มีค่านิยมทางวัฒนธรรมดังเช่นที่กล่าวมา ดังนั้นภูมิปัญญาด้านการทอเสื่อกกจึงเสมือนภูมิรู้พื้นบ้านที่แต่ละครัวเรือนต้องปลูกฝังให้ลูกหลานมีความรู้ มิให้ได้ชื่อว่าเกียจคร้าน มิต้องเสียทรัพย์สินเงินทองไปซื้อหา และมิให้เวลาว่างสูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะทอไว้เพื่อใช้เองในครัวเรือนแล้วยังสามารถทอเป็นอาชีพสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
ปัจจุบันขณะที่แนวโน้มภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านต่างๆ กำลังจะสูญหายไป แต่การทอเสื่อที่ตำบลดงน้อยกลับเกาะกลุ่มเป็นชุมชนเข้มแข็ง ยืนหยัดพัฒนาภูมิปัญญานี้ต้านกระแสค่านิยมใหม่ของสังคมอย่างเหนียวแน่น การศึกษาข้อมูลของชุมชนนี้ก็เพื่อศึกษาปัจจัยองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่า เป็นเพราะเหตุผลใดที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้จึงยังคงดำรงอยู่ได้อย่างยืนยงมาตลอด
การทอเสื่อกกของชาวชุมชนหมู่ที่ ๘ และ ๙ ตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการทำสืบทอดกันมายาวนานนับตั้งแต่แรกเริ่มตั้งหมู่บ้าน และถ่ายทอดอารยธรรมทางปัญญาสืบต่อๆ กันมาทางระบบครอบครัว จากรุ่นสู่รุ่นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ด้วยมูลเหตุทางด้านภูมิศาสตร์ พื้นที่ในชุมชนมีต้นกกขึ้นแต่แรก และมีการทำนากก เพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบธรรมชาติไว้ใช้ในการทอเสื่อสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ความรู้ในภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ดำรงอยู่สืบมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันการทำนากกบางครอบครัวยึดถือเป็นอาชีพหลัก นอกเหนือจากการทำนาข้าว เลี้ยงกุ้ง หรือเกษตรกรรมอื่นๆ ทั้งนี้เพราะสามารถขายผลผลิตที่เป็นกกสดหรือกกเส้นแก่ผู้ทอรายอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี กระทั่งมีพ่อค้ารับส่งถึงที่ เพื่อไปขายให้แก่ผู้ทอในจังหวัดอื่นๆ ถึงจันทบุรีก็มี
เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับการทอเสื่อกก เป็นพื้นฐานความรู้ที่เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ที่ทำเพื่อไว้ใช้และทำเหลือจากใช้ไว้ขายเป็นรายได้เสริม เด็กๆ ได้ซึมซับรับรู้กรรมวิธีและขั้นตอนการทำ การทอนี้มาตลอด เมื่อโตพอก็จะได้รับการฝึกฝนจนเป็นทักษะและความชำนาญ และกลายเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ไปในที่สุด แม้ปัจจุบันจะมีกระแสค่านิยมในอาชีพตามโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นทางเลือก ก็ยังมีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่พึงพอใจจะอยู่สืบสานงานอาชีพด้านเกษตรกรรม และการทอเสื่อกกจากบรรพชนอยู่กับบ้าน อีกทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่เคยปล่อยเวลาว่างให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือล้วนอยู่ใกล้ตัว เพียงหยิบฉวยเส้นกกขึ้นสอดใส่ไม่ช้าก็ได้เสื่อผืนงามที่ทำรายได้อย่างน่าพอใจในระดับหนึ่ง
และผลพวงแห่งแนวนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน เน้นส่งเสริมให้สร้างรายได้เป็นธุรกิจชุมชน จนถึงขั้นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ทำให้การทอเสื่อกกของชาวชุมชนแบบดั้งเดิม ได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้มีคุณภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ถึงแม้ค่านิยมในการใช้เสื่อกกในปัจจุบันจะลดลง แต่การทำนากก การทอเสื่อกกก็ยังสร้างรายได้เป็นอาชีพเสริมแก่ชาวชุมชนได้ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการเป็นกลุ่มแม่บ้านทอเสื่อ สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนทั้งทางด้านการผลิตและทางด้านการตลาด
ส่วนในด้านการอนุรักษ์และถ่ายทอด ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวนโยบายของรัฐบาล ทำให้ชุมชนเล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาของท้องถิ่น มีการเชิญให้ผู้ประกอบการเป็นวิทยากรสอนความรู้แก่นักเรียนในชุมชนและผู้สนใจทั่วไป จนกระทั่งบางโรงเรียนสร้างเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ด้านการทอเสื่อให้แก่นักเรียนดังที่พบเห็นได้ทั่วไปตามแหล่งข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการทอเสื่อ ซึ่งขั้นตอนหรือวิธีการที่สำคัญๆ มีดังนี้
๑. การปลูกกกหรือทำนากก นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัสดุในการทอเสื่อ โดยเตรียมที่ดินด้วยการไถ แล้วปักดำหัวกกลงในนาเหมือนการดำนาข้าว จากนั้นมีการบำรุงรักษา ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย ปลูกแซม ด้วยเวลา ๓-๔ เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้
๒. การตัดกก จะใช้มีดเล็กตัดเกือบถึงโคนต้นกก แล้วนำมากองเรียงเพื่อคัดแยกขนาด ตั้งแต่ความยาว ๙ คืบ ๘ คืบ เรื่อยลงมาจนถึง ๔ คืบ จากนั้นนำแต่ละกองที่มีขนาดเท่ากันมัดเก็บไว้ด้วยกัน ตัดดอกทิ้งเพื่อทำการกรีดเป็นเส้น
๓. การกรีดจะใช้มีดปลายแหลมที่ทำมาจากใบเลื่อย กรีดแบ่งครึ่งกกแต่ละเส้นถ้าเป็นต้นเล็ก ถ้าเป็นต้นใหญ่ก็กรีดเหมือนกัน แต่จะมีส่วนที่กรีดทิ้ง เพื่อให้แห้งง่าย
๔ หลังจากได้เส้นกกแล้ว ก็นำไปตาก โดยแผ่วางเรียงเป็นแนวยาว วันแรกจะตากเต็มวัน จากนั้นนำมามัดเป็นมัดเล็กๆ แล้วตากอีกราว ๒ วัน ให้เส้นกกนั้นแห้ง
๕. การย้อมสี นำกกที่ตากแห้งแล้วมามัดแช่น้ำราว ๑๐ ชั่วโมง เพื่อให้เส้นกกนิ่ม จากนั้นต้มน้ำให้เดือด ใส่สีย้อม แล้วนำเส้นกกที่มัดเป็นกำแช่ลงไปในน้ำสีที่กำลังเดือดทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาที จึงนำไปแช่น้ำ แล้วนำขึ้นตากในที่ร่มมีลมพัดผ่าน ๓-๔ วัน เมื่อเส้นกกสีแห้ง ก็สามารถนำไปใช้ในการทอได้
๖. การทอจะร้อยเส้นเอ็นกับฟืมเป็นเส้นยืนตามขนาดของคืบที่กำหนด แล้วใช้เส้นกกใส่กระสวยทอเรียงเป็นเส้นนอนคล้ายการทอผ้า การใส่ลายสีในการทอนิยมใส่ตอนแรก และตอนสุดท้ายของการทอ เมื่อจะเต็มผืน
๗ เมื่อทอได้เต็มผืนก็มัดริมเสื่อ ตัดเสื่อออกจากกี่ และตัดริมอีกครั้งพร้อมแต่งเสื่อให้มีความเรียบร้อยสวยงาม
ส่วนราคาในการขาย ถ้าเป็นเสื่อธรรมดา ๕ คืบ ผืนละ ๘๐ บาท, ๖ คืบ ผืนละ ๑๐๐ บาท, ๗ คืบ ผืนละ ๑๒๐ บาท, ๘ คืบ ผืนละ ๑๕๐ บาท และ ๙ คืบ ผืนละ ๑๘๐ บาท ถ้าเป็นเสื่อสีจะทำตั้งแต่ ๗ คืบ ในราคาผืนละ ๒๕๐ บาท, ๘ คืบ ผืนละ ๓๐๐ บาท และ ๙ คืบ ผืนละ ๓๕๐ บาท
ปัจจุบันผู้ประกอบการสมาชิก กลุ่มแม่บ้านทอเสื่อ หมู่ที่ ๙ ตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๑๐ คน คือ
นางจันทิรา สร้อยทอง ประธานกลุ่ม และสามาชิก คือ
นางบุษบา จันสุพาทร, นางเกษม สมบูรณ์ยิ่ง, นางตลับ อุนุตโต, นางประทวน พยุงพงษ์, นางวิรัตน์ สรสุนทร, นางอำพร ตรีเวช, นางพินิจ พยุงพงษ์, นางลาวัลย์ ตรีเวช และนางทองม้วน รักษาทรัพย์
กก เป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ Cyperaceae ขึ้นในที่ชุมแฉะ มีหัวเหมือนข่าแต่เล็กกว่าและแตกแขนงเป็นต้น คำเรียกพื้นเมืองมักเรียกตามลักษณะลำต้นว่า กกเหลี่ยม กกกลม ชนิดลำต้นกลมนิยมใช้ในการทอเสื่อ เพราะผิวจะเหนียวและอ่อนนุ่ม เมื่อทำเป็นเสื่อแล้วจะนิ่มนวลน่าใช้ หากขัดถูก็จะเป็นมันน่าดู ส่วนกกเหลี่ยมลำต้นมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ผิวของกกชนิดนี้จะแข็งกรอบและไม่เหนียว ไม่นิยมนำมาใช้ทำเสื่อเพราะไม่ทน
การทอเสื่อกก ก็เป็นเช่นเดียวกับการสร้างสรรค์สิ่งอื่นๆ ด้วยภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นที่มีพืชชนิดนี้ขึ้นอยู่ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกภูมิภาค จนยากที่จะระบุได้ว่าเสื่อผืนแรกของโลกถูกทอขึ้นเมื่อไร หรือชนชาติไหนเป็นชาติแรกที่ทอเสื่อขึ้นใช้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการทอเสื่อกกได้กลายเป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศไทย และได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบแปรรูป ให้มีลักษณะต่างๆ และใช้นอกเหนือไปจากการปูนั่งหรือนอน เช่นในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนการทอเสื่อกกของชาวบ้านตำบลดงน้อย อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็ถูกจัดนับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของท้องถิ่นนี้ ที่มีการทำและสืบทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นต่อมาอย่างสืบเนื่องยาวนาน จนการทอเสื่อกกกลายเป็นวิถีชีวิตในยามว่างจากงานเกษตรกรรม เพื่อทำขึ้นใช้เองในครัวเรือน และซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นรายได้เสริม
ยิ่งได้รับการส่งเสริมพัฒนาจากหน่วยงานของรัฐ ก็สามารถพัฒนาคุณภาพของวัตถุดิบ และฝีมือการทอ จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำรายได้ให้แก่กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวขึ้นเพื่อประกอบการทอเสื่อตามแนวนโยบายธุรกิจชุมชน จนมีความเข้มแข็ง และอยู่รอดได้ท่ามกลางกระแสความผันแปรของวัฒนธรรม และค่านิยมในการใช้สอย
ส่วนมูลเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ภูมิปัญญาการทอเสื่อกกยังคงดำเนินอยู่ได้ในชุมชนดงน้อยแห่งนี้ อาจจำแนกแยกแยะออกได้ว่า
๑. การทอเสื่อของชาวตำบลดงน้อยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ดำเนินสืบต่อกันมาเป็นปกติวิสัย คือเมื่อมีเวลาว่างก็ทอเพื่อใช้หรือขายเป็นรายได้เสริม แม้บางช่วงเวลาและโอกาส อาจทำรายได้มากกว่าอาชีพหลัก แต่ก็ไม่ทำให้วิถีชีวิตของผู้ประกอบการเปลี่ยนไปตามกระแสธุรกิจ หรือกระแสค่านิยมในเรื่องหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือการท่องเที่ยว ชาวบ้านก็ยังมีชีวิตตามปกติเหมือนเดิม ยังอนุรักษ์และสืบทอดเหมือนที่ผ่านมา
๒. แม้คนรุ่นใหม่ของชุมชนจะมีค่านิยมในการประกอบอาชีพเปลี่ยนไปตามกระแสของสังคม คือเข้าสู่โรงงาน แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ยังคงเป็นเกษตรกรที่ทำนา เลี้ยงสัตว์ เมื่อมีเวลาว่างก็ทอเสื่อตามปกติ ปัญหาขาดผู้สืบทอดดูมิใช่ปัญหา เพราะลูกหลานกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ ล้วนซึมซับรับรู้การทอเสื่ออยู่เต็มตัวตั้งแต่เล็ก ซึ่งเมื่อไรที่โรงงานปิดตัวลงหรือคนรุ่นใหม่มีอายุมากขึ้น และเบื่อชีวิตโรงงาน ก็สามารถหันกลับมาจับงานเกษตรกรรม และใช้เวลาว่างทอเสื่อได้ทุกเวลา
๓. ด้านเยาวชนในชุมชน ภูมิปัญญานี้ได้ถูกปลูกฝังด้วยระบบของการศึกษาที่กลุ่มแม่บ้านออกไปเป็นวิทยากรสอนแก่นักเรียนและผู้สนใจ นอกเหนือจากการปลูกฝัง ความรู้ทางระบบครอบครัวอีกทางหนึ่ง
๔. ปัจจุบันการทำนากก เพื่อขายต้นกกสดหรือเส้นกกแห้งให้เป็นวัตถุดิบแก่ผู้ทอ นับเป็นการช่วยย่นระยะเวลาของผู้ประกอบการ ไม่ต้องมาเสียเวลาทำนากก สามารถซื้อเส้นกกไปใช้ขายได้เลย ทำให้การทอเสื่อยังคงดำรงอยู่ได้อีกรูปแบบหนึ่งแต่อาจก่อปัญหาในภูมิปัญญาการทำนากกในวันข้างหน้า แก่คนรุ่นใหม่ได้
๕. เส้นทางของการทอเสื่อนอกจากทำเป็นแผ่นผืนไว้ใช้สอยแล้ว ยังมีอีกในการประยุกต์ผืนเสื่อแปรเป็นรูปผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กระเป๋า ซองจดหมาย จานรอง รองเท้า ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการในชุมชนนี้ยังก้าวมาไม่ถึง จึงนับว่ายังมีช่วงเวลาของการสืบสานภูมิปัญญาในการทออีกระยะหนึ่ง กว่าจะถึงจุดเปลี่ยนของภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ธุรกิจชุมชนและการตลาด
๖. ตราบใดที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นยังเป็นเรื่องของวิถีชีวิตในชุมชน ตราบนั้นภูมิปัญญายังอยู่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่ถ้าตราบใดภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกผลักดันให้เป็นจุดนำวิถีชีวิต เพื่อหวังผลในเชิงธุรกิจและผลประโยชน์แล้ว อันตรายของภูมิปัญญาคือการถูกตีค่าเป็นเรื่องของวัตถุ มิใช่มีผลต่อจิตใจตราบนั้นความเสื่อมสูญก็จะเร่งวันให้ผันแปรไปตามกระแสทันที
งานช่างฝีมือประดับมุก
“งานช่างฝีมือประดับมุก” เป็นศิลปหัตถกรรมชั้นสูงของไทยสร้างขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตบรรจง มีความงดงามวิจิตรพิสดารเป็นอย่างยิ่งจนเป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น การทำลายประดับมุกกระทำจากการใช้เปลือกหอยทะเลชนิดหนึ่งมีเนื้อเงาแวววาวคือ หอยมุก หรือเปลือกหอยอูด (หอยทะเลชนิดหนึ่ง) ที่ชาวบ้านเรียกว่าหอยโข่งมุกมีเปลือกหนาเมื่อจะนำมาใช้งานจะต้องทำการตัดขัดแต่งให้ได้ขนาดความหนาที่พอเหมาะก่อนจะนำไปใช้งาน โดยจะใช้เปลือกหอยมาฉลุเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลายที่เขียนไว้ แล้วทำการฉลุไปตามเส้นลาย หลังจากนั้นนำลายมุกที่ฉลุไปติดลงบนแผ่นกระดาษลายต้นฉบับด้วยกาว จนถึงใช้ยางรักชนิดแห้งเร็วลงทับ ปล่อยไว้จนแห้งจึงลอกกระดาษที่เป็นแม่ลายออก และขัดจนเห็นลายมุกขึ้นทั่ว ซึ่ง “งานช่างประดับมุก” เป็นงานที่ทำโดยนายพิษณุ แวกประยูร มีถิ่นฐานอยู่ที่ ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี
งานช่างประดับมุก เป็นงานช่างฝีมือที่ถูกจัดอยู่ในงานประณีตศิลป์ มีศิลปลักษณะงดงามและใช้ความสามารถทางฝีมือที่ละเอียดอ่อนประณีตมากจนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เป็นที่น่าเสียดายว่า ลายประดับมุกเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในปัจจุบันนี้ แม้จะมีเหลืออยู่บ้างตามบานประตู หน้าต่างวัดวาอารามแต่ก็มีสภาพไม่ดีนักเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่รักษา จึงทำให้ลวดลายของมุกที่ประดับไว้มีความคร่ำมัวหมองลงไปจนบางแห่งเลอะเลือนจนเกือบมองไม่เห็นลวดลาย ทำให้คุณค่าและความงามในตัวงานช่างลดน้อยลงไป อาจกล่าวได้ว่างานช่างประดับมุกเป็นงานช่างชั้นยอดเยี่ยมอีกชนิดหนึ่งที่จะหาชาติใดทำได้และเป็นงานฝีมือชั้นสูงที่มักนิยมใช้มาแต่โบราณกาลในของสูงของพระมหากษัตริย์ และสถานที่เคารพบูชาทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เช่น บานประตูหน้าต่าง พระอุโบสถ พระมณฑป พระวิหาร ฯลฯ ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ เป็นต้นว่า ตู้พระมาลัย ธรรมาสน์ ตะลุ่ม พานแว่นฟ้า ฝาบาตร กล่องใส่หมากพลู เป็นต้น
การจัดเก็บข้อมูลครั้งนี้น่าจะนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับจัดทำฐานความรู้เรื่องงานช่างฝีมือพื้นบ้าน หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเผยแพร่ให้กับหน่วยงานสถานศึกษาหรือผู้สนใจได้รับทราบถึงแบบอย่างและข้อมูลที่ถูกต้องในงานช่างฝีมือประดับมุก เพราะเนื้อหาสาระดังกล่าวนับวันจะหาผู้ที่เข้ามาศึกษารวบรวมและจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบก็น้อยเต็มที โดยเฉพาะการให้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนกรรมวิธีทำงานประดับมุกว่าทำอย่างไร (Knowhow) นับเป็นเรื่องที่มีคุณค่า และประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
“งานช่างประดับมุก” เป็นศิลปหัตถกรรมชั้นสูงของไทยที่สร้างขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตบรรจงและกระทำกันมาแต่โบราณกาล ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มสมัยใดแต่มีผลงานการใช้วิธีฝังมุกประดับลวดลายตกแต่งปูนปั้นที่เจดีย์ในสมัยทวารวดีและสมัยเชียงแสนด้วยมีการฝังมุกที่พระเนตรของพระพุทธรูป เรื่อยลงมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ประเทศใกล้เคียงในแถบเอเชียตะวันออกได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม ได้มีการนำมุกมาประดับคล้ายกับช่างไทย อย่างจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม ใช้วิธีฝังมุกลงไปในเนื้อไม้ที่ย้อมสีดำ ส่วนเวียดนามมีการทำมุกสองวิธีคือ ฝังลงไปในเนื้อไม้เหมือนจีนอย่างหนึ่ง และตามพื้นเหมือนอย่างไทยก็มีบ้าง กรณีของไทยจะใช้วิธีฝังมุกด้วยวิธีการตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประดับลงบนพื้นที่ตามลวดลายที่เขียนไว้ เสร็จแล้วใช้รักชนิดแห้งเทลงทับรักที่ลงพื้นไว้อีกครั้งและทิ้งไว้จนรักหมาดเหนียว จึงเริ่มประดับมุกโดยนำแผ่นกระดาษที่มีมุกติดไว้กดลงบนรักให้ทั่ว ปล่อยไว้จนรักแห้งแข็งตัวจึงลอกกระดาษที่เป็นแม่ลายออก โดยใช้น้ำเช็ดให้เปียกแล้วจึงลอกออก ถ้าลวดลายยังไม่เรียบร้อยจะต้องใช้หินกากเพชรค่อย ๆ ขัดกับน้ำขัดจนเห็นลายมุกขึ้นทั่ว เมื่อผิวรักเรียบร้อยดีแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิทจึงขึ้นวิธีขัดมัน
วัตถุที่นำมาประดับมุกได้แก่เปลือกหอยทะเลที่มีประกายสีรุ้งมีความเงาแวววามเช่น หอยนมสาว หอยจอบ หอยงวงช้าง หอยสองฝา หอยอูดเป็นต้น มีลวดลายที่นำมาใช้จะคำนึงถึงภาชนะที่ใช้ในการตกแต่ง และส่วนใหญ่จะนิยมลวดลายพวก ลายกนก ลายก้านขด ลายกระจังเป็นต้น แต่ถ้าหากวัสดุที่ประดับมุกมีพื้นที่เรียบมาก ปรากฏตามหน้าต่างโบสถ์วิหาร มักจะทำลวดลายเป็นเรื่องราวตามเรื่องรามเกียรติ์ พุทธประวัติ ฯลฯ แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวบางตอนก็ตามแก่ ก็พอจะทำให้มองเห็นได้ว่าช่างมีความสามารถและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยการนำเรื่องราวจากวรรณกรรมมาผสมผสานกับงานช่างที่เป็นประณีตศิลป์ได้เป็นอย่างดี
งานช่างฝีมือประดับมุกของนายพิษณุ แวกประยูร ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จัดเป็นงานช่างที่มีฝีมือได้คุณภาพมากจนได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี งานช่างลักษณะนี้จัดเป็นข้อมูลทั่วไปที่มีทำกันอยู่ทั่วไปยังพอจะหาข้อมูลและวิธีการประดับมุกอันเป็นลักษณะเฉพาะได้จากแหล่งอื่น ๆ อีกมาก
“งานช่างฝีมือประดับมุก” หรือ “การประดับมุก” เป็นศิลปะการตกแต่งที่มีความวิจิตรงดงามปรากฏอยู่บนบานประตูหน้าต่างของพระอุโบสถวิหารหรือพระบรมมหาราชวัง รวมถึงบนภาชนะเครื่องใช้ของพระสงฆ์เช่น ตู้ พระมาลัย ธรรมาสน์ ตะลุ่ม พานแว่นฟ้า กล่องใส่หมากพลู เป็นต้น โดยมีลวดลายประดับตกแต่งจำพวกลายกนก ลายกระจัง และลายก้านขด หรือแม้แต่เขียนเป็นภาพกินรี ราชสีห์ คชสีห์ ประกอบตามส่วนต่าง ๆ เป็นอาทิ อนึ่งงานช่างนี้เป็นงานประณีต มีความละเอียดอ่อนและใช้ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้เป็นงานที่สิ้นเปลืองเวลาและมีราคาสูงตามไปด้วย ดังนั้นงานช่างประดับมุกจึงไม่ค่อยมีผู้สนใจมาเรียนรู้มากนักจะมีก็แต่ช่างผู้มีใจรักจริง ๆ เท่านั้น ปัจจุบันถึงแม้จะมีผู้เห็นคุณค่าได้ลงมือทำงานช่างประดับมุกอย่างจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน แต่ทว่าฝีมือไม่อาจเทียบเคียงกับผลงานในอดีตได้
งานช่างประดับมุกถือว่าเป็นของใช้ชั้นสูง เพื่อเชิดชูความมีตำแหน่งฐานะ ที่ในอดีตจะใช้กันในแวดวงจำกัดของสถาบันกษัตริย์ ชนชั้นสูง และหมู่สงฆ์ทั้งหลายเท่านั้น จึงทำให้งานช่างประเภทนี้ไม่แพร่หลาย อีกทั้งเป็นงานช่างที่ต้องอาศัยฝีมือความละเอียดรอบคอบความมุมานะพยายามเป็นอย่างสูง เพราะว่าลวดลายต่าง ๆ ของลายประดับมุกมีความละเอียด ช่างประดับมุกต้องอาศัยความสามารถความชำนาญในการสร้างแม่ลายให้เข้ากับสีที่จะประดับมุก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะหรือบนบานประตูหน้าต่างไปจนถึงโต๊ะเตียงก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นภาชนะมีเหลี่ยมมุมโค้งเว้าด้วยแล้วการสร้างลายและการประดับมุกไปตามส่วนนั้น ๆ ก็ยิ่งกระทำได้ยาก อย่างไรเสียช่างไทยก็ได้สร้างศิลปหัตถกรรมหรือผลงานประณีตศิลป์ขั้นสูงได้มาก มีหลักฐานปรากฏตามวัดวาอาราม หรือในพระบรมมหาราชวังมากมาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่งานช่างประดับมุก ณ สถานที่นั้นขาดการดูแลเอาใจใส่ ดูแลรักษาจึงทำให้ลวดลายของมุกที่ประดับไว้จากที่เคยแวววาวงดงามมาแต่อดีตดูคร่ำมัวลงไป จนบางแห่งเลอะเลือนจนเกือบมองไม่เห็นลวดลายที่มีคุณค่าเหล่านั้น
ในกรณีความสำคัญของช่างนั้นถือได้ว่างานประดับมุกเป็นงานช่างฝีมือชั้นสูงที่มีคุณค่า มีความวิจิตรพิสดารและมีเอกลักษณ์ของตนเองจนเป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะกรรมวิธีการสร้างงานที่กว่าจะได้ในแต่ละขั้นตอนการทำงานของช่าง จะต้องมีความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างสูง จนได้ผลงานประดับมุกที่เสร็จเรียบร้อยงดงาม สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น ซึ่งไม่อาจหางานช่างประเภทอื่นเทียบเคียงได้
“งานช่างฝีมือประดับมุก” มีประวัติความเป็นมาอย่างไรยังไม่ทราบหลักฐานแน่ชัดเพราะไม่เคยมีหลักฐานหรือจารึกใด ๆ เลยว่าชนชาติไทยเริ่มคิดค้นประดิษฐ์งานมุกได้เมื่อใด หรือได้รับอิทธิพลจากชาติใด อย่างเช่น จีน เวียดนาม หรือญี่ปุ่น ซึ่งก็มีการนำเปลือกหอยมุกมาใช้ประโยชน์ในงานศิลปกรรมเหมือนกับไทย แต่วิธีการประดับและลวดลายนั้นแตกต่างจากไทยโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานทางโบราณคดีของการนำเปลือกหอยมาประดับตกแต่งเป็นลวดลายที่เก่าที่สุด พบว่าสมัยทวารวดีมีการใช้มุกประดับเป็นลวดลายการตกแต่งอยู่บนปูนปั้นบนโบราณสถานที่ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี มีอายุประมาณศตวรรษที่ ๑๒ นับได้ว่าเป็นหลักฐานที่เก่าที่สุด สมัยเชียงแสนลงมาก็มีการฝังมุกที่พระเนตรของพระพุทธรูปกระทั่งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงพบงานช่างประดับมุกชนิดใช้รักเป็นตัวเชื่อมเช่นปัจจุบัน มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือ ตู้พระไตรปิฏกประดับมุกอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มีลวดลายกระหนกหางนาค บานตู้ด้านซ้ายประดับเป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ บานด้านขวาประดับเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พิจารณาตามลักษณะและลวดลายเป็นสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือประมาณ พ.ศ. ๒๒๔๖–๒๒๕๑ ส่วนที่จังหวัดชลบุรีมีการกระทำอย่างเป็นกิจลักษณะเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ ลงมานี้เอง โดยมีนายพิษณุ แวกประยูร เป็นช่างที่ได้นำประสบการณ์มาจากการฝึกงานครั้งแรกที่เสาชิงช้าแล้วต่อมาได้ย้ายมาทำเป็นส่วนตัวที่ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี
การทำ วิธีทำประดับมุกมีการดำเนินการอย่างไร (Knowhow) กรณีที่จังหวัดชลบุรีมีขั้นตอนการกระบวนการผลิตมี ๒ ขั้นตอนคือ ขั้นเตรียมการ และขั้นดำเนินการ และมีวัสดุที่ใช้ในการผลิตประกอบด้วย เครื่องกรอ เครื่องฉลุ หินเจีย กาว กระดาษลอกลาย และกระดาษทราย โดยสามารถให้รายละเอียดขั้นตอนกระบวนการผลิต (โต๊ะชุดรับแขกแบบมีลายฝัง) ได้ดังนี้
ขั้นเตรียมการ
๑. เตรียมหุ่นคือการเตรียมภาชนะเครื่องใช้ที่จะนำมาประดับมุก ในการนี้จะเป็นโต๊ะชุดรับแขกแบบลายฝัง นำมาขัดแต่งผิวให้เรียบร้อยพอสมควรด้วยกระดาษทราย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นมุมจะได้รับการขัดแต่งแบ่งส่วนพื้นที่ที่จะประดับลายให้มีขนาดใกล้เคียงกัน
๒. เตรียมแบบลวดลายที่ต้องการให้เหมาะสมกับเครื่องใช้ที่จะประดับตกแต่ง ซึ่งควรศึกษาลวดลายต่าง ๆ ให้มีความเข้าใจอย่างชัดเจน และสามารถเลือกนำลายที่เหมาะสมมาใช้งานได้อย่างถูกต้องทั้งรูปแบบและตำแหน่ง ประการสำคัญจะต้องมีความเข้าใจการออกแบบลายมุกซึ่งมีความแตกต่างจากลายประเภทอื่นคือตัวลายจะขาดเป็นตัว ๆ เพื่อสะดวกในการสร้างงาน เนื่องจากเปลือกหอยมีความโค้งไม่สามารถวางลายลงบนพื้นเรียบได้ยาว จึงต้องตัดตอนเป็นช่วงสั้น ๆ เพื่อให้ลวดลายต่อเนื่องกัน หลังจากนั้นก็จัดเตรียมกระดาษลอกลายและกระดาษไขไว้ปรุลายลงกระดาษตามแบบที่ออกไว้
ขั้นดำเนินการ
๑. เขียนลายตามหุ่นโต๊ะลงบนกระดาษไขแล้วนำไปถ่ายเอกสารโดยเก็บไว้ใช้งาน ๓-๔ ชุด ชุดแรกเป็นแบบให้ตรวจดูสอบทานความเรียบร้อยในการประดับลาย ชุดที่สองให้ติดลายผนึกลงบนผิวชิ้นมุกด้วยกาวน้ำเพื่อทำการโกรกฉลุลายต่อไป ชุดที่สามใช้ประกอบการประดับลาย โดยเมื่อฉลุและขัดแต่งลายเรียบร้อยแล้ว ให้นำลายแต่ละชิ้นผนึกลงบนแบบชุดนี้เพื่อป้องกันผังลายสูญหายและสะดวกในการประดับลายลงบนชิ้นงาน
๒. นำมาตัดหรือโกรกฉลุลายมุก โดยใช้เครื่องฉลุของช่างทองขัดแต่งตัวลายที่ฉลุแล้วด้วยตะไบขนาดเล็กและกระดาษทราย เพื่อให้ขอบลายหมดคมของเลื่อยและได้รูปร่างสวยงามตามแบบ หลังจากนั้นจึงนำไปผนึกลายที่ขัดแต่งแล้วลงในแบบที่สามด้วยกาว (กาวน้ำ)
๓. เสร็จแล้วนำลายที่ติดกับแผ่นรองแล้วจึงทารักน้ำลงบนผิวภาชนะที่จะประดับมุกเพื่อรองพื้นและเป็นตัวประสานให้ลายมุกติดสนิทกับผิวโต๊ะมากยิ่งขึ้น เมื่อทารักแล้วต้องทิ้งให้แห้งสนิทหากมีร่องหรือรอยแตกจะต้องผสมรักสมุกอุดยาร่องให้เสมอผิวก่อน
๔. ปรุลายลงบนกระดาษตามแบบที่ออกไว้แล้วทำการตบฝุ่นโรยลายเช่นเดียวกับการเขียนลายกระดานของช่างลายรดน้ำ หลังจากนั้นลงมือประดับลายมุกตามแบบโรยฝุ่นที่ปรากฏบนผิวโต๊ะ โดยลอกลายจากแบบชุดที่สามออกมาประดับทีละตัว ครั้งนี้ใช้ยางรักเป็นตัวเชื่อมแทนกาวน้ำ เมื่อประดับเสร็จแล้วควรทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อน
๕. ก่อนลงรักสมุกจะต้องทายางรักลงเคลือบบนตัวลายและผิวโต๊ะนั้น (ลงให้ทั่วโดยเฉพาะร่องระหว่างตัวลาย) ต่อจากนั้นผสมรักกับสมุก (สมุกคือผงถ่านบดละเอียดที่ได้จากการเผาใบตองแห้ง บางทีต้องการให้แข็งมาก ๆ จะใช้กะลามะพร้าวเผาแทน) ถมลงในร่องลายให้เต็มและถมทับให้ทั่วทั้งโต๊ะเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
๖. เมื่อรักสมุกแห้งสนิทแล้วจึงทำการขัดแต่งด้วยกระดาษทรายอย่างหยาบก่อน แล้วตามด้วยกระดาษทรายละเอียดจนผิวเรียบเสมอกันจึงทิ้งไว้ให้แห้ง ขั้นสุดท้ายทำการขัดมันเคลือบเงา
อนึ่ง ระยะเวลาในการทำงานแต่ละชิ้นจะใช้เวลามาก ด้วยเป็นงานที่ต้องใช้ความประณีต ความละเอียดอ่อน บางชิ้นต้องทำเป็นปีกว่าจะได้ชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบ จึงส่งผลให้งานช่างประดับมุกมีราคาแพง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแบบและลวดลายต่าง ๆ เป็นกรณี ๆ ไปด้วย ปัจจุบันงานช่างประดับมุกของนายพิษณุ แวกประยูร ทำงานอยู่ที่ ๑๑/๓๒ หมู่ที่ ๒ ถนนเศรษฐกิจ ซอย ๑๒ ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โทรศัพท์ ๐๓๘–๗๙๙๐๑๔ ผลงานที่ทำเช่น บานประตู หน้าต่างโบสถ์ เฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน โต๊ะ ชุดรับแขก โต๊ะหมู่บูชา และเครื่องใช้ในงานพิธีสงฆ์ต่าง ๆ เป็นต้น
สรุปผลการวิเคราะห์
“งานช่างฝีมือประดับมุก” ที่ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี เมื่อพิจารณาวิเคราะห์ถึงภูมิหลังจะพบได้ว่า ช่างที่นี่มีพื้นฐานความรู้เชิงช่างจากย่านเสาชิงช้า กรุงเทพฯ ด้วยนายพิษณุ แวกประยูร ได้เคยผ่านการฝึกการทำงานทำมุกที่นี่แล้วจึงนำประสบการณ์ที่ได้รับมาประกอบกิจการส่วนตัวที่เมืองชลบุรีอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อพิจารณาผลงานประดับมุกในหลาย ๆ ชิ้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีรูปแบบ ลวดลาย และกรรมวิธีทางช่างหลาย ๆ ด้านจะคล้ายคลึงกับช่างที่กรุงเทพฯไม่ว่าจะเป็นการทำบานประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะหมู่บูชา เป็นต้น กรณีเรื่องของภูมิปัญญาเชิงช่างค่อนข้างมีวิธีการเป็นไปในแนวทางของช่างหลวงมากกว่าเช่น การออกแบบลวดลาย หรือขั้นตอนการดำเนินการในแต่ละส่วนเองก็ตาม เป็นต้นว่าการทำหุ่น โกรกฉลุลาย ประดับลาย ถมรักสมุก จนถึงขัดแต่งผิว โดยความสัมพันธ์ต่อเนื่องในแต่ละขั้นตอนต่างแสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ของงานช่างฝีมือประดับมุกได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งงานช่างประดับมุกเมื่อวิเคราะห์ตามลักษณะผลงานมีความยึดโยงกับประเพณีวัฒน-ธรรมและศาสนาเป็นอย่างมาก ช่างจะต้องมีพื้นความรู้และเข้าใจเนื้อหาสาระเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนจะนำมาออกแบบหรือประดิษฐ์ลวดลายอะไรต่าง ๆ ได้แก่เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ วรรณคดี หรือกระทั่งสัตว์ในจินตนาการแบบไทย เช่น ราชสีห์ คชสีห์ กินรี กินนร ฯลฯ ทั้งนี้เนื่องจากงานช่างประเภทนี้มักนิยมนำไปใช้ประกอบเครื่องราชูปโภคและหรือประเพณีในราชสำนัก รวมถึงเป็นพุทธบูชาตามพระราชศรัทธาและพระราชประเพณีนิยมเป็นต้น ดังนั้นช่างจึงไม่สามารถจะคิดทำอะไรออกนอกกรอบได้มากนัก เว้นแต่ผลงานที่ทำขึ้นเพื่อใช้สอยภายในครัวเรือนช่างอาจมีความคิดพลิกแพลงได้บ้างตามโอกาส กรณีงานช่างประดับมุกเมื่อพิจารณาถึงลักษณะของข้อมูลจัดว่าเป็นข้อมูลทั่วไป มีการทำงานช่างประเภทนี้อยู่ทั่วไป และมีการบันทึกถอดรหัสองค์ความรู้ในกรรมวิธีการทำงานอยู่เป็นระยะ แม้ในสถาบันการศึกษาทางศิลปะก็มีการเปิดหลักสูตรให้นิสิตนักศึกษาได้ลงเรียนกันอยู่เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัตนโกสินทร์วิทยาเขตเพาะช่าง วิทยาลัยในวัง ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เป็นต้น
การประดับกระจก
โดยประสงค์ตกแต่งสิ่งต่างๆ
ให้มีความงามเพิ่มเติมขึ้นแก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น อาจจำแนก ประเภท
ของลักษณะการประดับกระจกออกไปได้เป็น ๕ ประเภท ดังนี้
- ๑. การประดับกระจกประเภทพื้นลาย เป็นการประดับกระจก ทำเป็นพื้นผิวดาดๆ หรือ ทำเป็นลวดลายขึ้นบนพื้นราบ กึ่งราบหรือโค้ง ลักษณะผิวหน้าของชิ้นกระจกอยู่ในระดับเสมอกัน
- ๒. การประดับกระจกประเภทร่องกระจก เป็นการประดับกระจก ลงในพื้นร่องว่างที่เป็นช่องไฟ ระหว่างลวดลายสลักไม้ หรือปั้นปูนลงรักปิดทอง พื้นร่องว่างนั้น อยู่ต่ำกว่าลวดลาย โดยประสงค์ใช้กระจกสี เช่น สีคราม สีเขียว ช่วยขับลวดลายปิดทองคำเปลวให้ดูเด่นขึ้น เรียกว่า “ร่องกระจก”
- ๓. การประดับกระจกประเภทลายยา เป็นการประดับกระจกสีต่างๆ สีที่ได้รับการตัดแบ่งเป็นชิ้น ตามแบบลวดลาย และ ขนาดที่กำหนดลงในร่องตื้นๆ ซึ่งได้ขุดควักลงบนหน้ากระดาน ที่จะประดับกระจก งาน “ประดับกระจกลายยา” นี้ย่อมาจากคำว่า “กระยารง” แปลว่า “เครื่องสี“ และ การเรียกงานประดับกระจกประเภทนี้ว่า “ลายยา” ก็เป็นไปในเชิงเปรียบเทียบว่า ลวดลายประดับด้วยกระจกสีต่างสี ที่ปรากฏบนพื้นสีทองนั้นแลดูคล้ายกัน กับลวดลายเขียน ด้วยกระยารง หรือกระยาสี คือเครื่องสีนั่นเอง
- ๔. การประดับกระจกประเภทแกมเบื้อ เป็นการประดับกระจกสี ร่วมด้วยกันกับงานประดับมุก เพื่อเพิ่มเติมสีสันให้สวยงาม แก่งานประดับมุก คำว่า “เบื้อ” หมายถึง “มีแสงเลื่อมพราย” โดยปริยาย หมายถึงกระจก คำว่า “แกมเบื้อ” จึงหมายถึง “ปนด้วยกระจก”

- ๕. การประดับกระจกประเภทสุดท้าย เป็นการปิดหรือติดกระจกทำเป็น “แวว” สอดประดับตกแต่งในตัวลายแบบต่างๆ ด้วยการตัดกระจกเป็นรูปหยดน้ำ กลม ปิดเป็นไส้ลายกระจัง ลายใบเทศ หรือ ลายดอกมะเขือ เป็นต้น
ชาติไทย เป็นชาติที่มีศิลปะวัฒนธรรม
และประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
โดยปรากฎหลักฐาน โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เป็นงานประณีตศิลป์จำนวนมาก ที่ผ่านการคิดค้น
สร้างสรรค์ ประดิษฐ์ ขึ้นมา
ด้วยความเพียรพยายาม ประณีต วิจิตร บรรจง สืบต่อกันมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี
หรืออาจถึงพันปี งานที่จัดว่าเป็นประณีต
ศิลป์ของไทย ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ได้แก่งานศิลปะดังต่อไปนี้
1. เครื่องเงินไทย
หมายถึง เครื่องเงินชนิดที่ทำเป็นเครื่องรูปพรรณ เครื่องถม และเครื่องลงยาสีที่ทำในประเทศไทย
ทำด้วยโลหะเงินมาตรฐาน ให้มีโลหะอื่น ๆ เจือปนได้ไม่เกิน ร้อยละ 7.5 ของ
น้ำหนัก ส่วนประกอบของเครื่องเงินไทย
ต้องแข็งแรง ทนทาน มีลวดลายที่ชัดเจน เรียบร้อย
ในประเทศไทยมีหลักฐานของการใช้โลหะเงินมาตั้งแต่
ก่อนยุคทวาราวดี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในแต่ละท้องถิ่น ภาคใต้
ภาคกลาง และภาคเหนือ โดยเฉพาะ เครื่องเงินของล้านนา นับว่ามีชื่อเสียงมาก
กระบวนการผลิตเครื่องเงิน มีขั้นตอนสำคัญ
3 ขั้นตอน คือ
1. การหลอม เป็นขั้นตอนแรกในการผลิต เป็นการเตรียมวัตถุดิบ
เพื่อใช้ทำงานขั้นต่อไป
2. การขึ้นรูป เป็นการเตรียมภาชนะให้เป็นรูปแบบตามต้องการ
โดยทั่วไป มี 6 ปบบ คือ การขึ้นรูปด้วยค้อน ด้วยการตัดต่อ
ด้วยการหล่อ ด้วยการชักลวด ด้วยการสาน และด้วยการบุ
3. การตกแต่งเครื่องเงิน เป็นการทำงานขั้นสุดท้าย เพื่อให้เกิดความสวยงาม
วิธีการตกแต่งเครื่องเงินโดยทั่วไป มี 7 ลักษณะ
คือ การสลักดุน การเพลา การแกะลายเบา การถมยาดำ การถมยาทอง
หรือตะทอง การลงยาสี และการประดับหรือฝังอัญมณี
ลวดลายที่ปรากฎอยู่ในเครื่องเงินไทย มักเป้นลวดลายธรรมชาติ
รูปเทวดา รูปสัตว์หิมพานต์ รูปตัวละครในวรรณคดี รูปสัตว์
12 ราศี และลวดลายไทย
2. เครื่องทอง เป็นสินแร่ที่มีราคา
และมนุษย์นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุในการแลกเปลี่ยน ความสำคัญของทองเกิดจาก
การที่มีค่าสูงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ มากนัก มีคตวามสวยงาม มีสีเหลืองสว่างสดใสปละมีประกายสุกปลั่ง
เสมอ ไม่เป็นสนิม มีความอ่อนเหนียวจนสามารถนำมาตีเป็นแผ่นบางมาก ๆ ขนาด
0.000005 นิ้วได้ และเป็นโลหะที่
ไม่ละลายในกรดชนิดใด แต่จะละลายได้อย่างช้า ๆ ในสารละลายผสมระหว่างกรดดินประสิวกับกรดเกลือ
กระบวนการในการทำเครื่องทอง ในอดีต มีหลายวิธีแตกต่างกันออกไป
ตามแต่เทคนิค หรือวัสดุ อุปกรณ์ที่นำมาใช้ ดังนี้
คือ การหุ้ม การปิด(การลงรักปิดทอง) การบุ การดุน การหล่อ
การสลัก การาไหล่หรือกะไหล่ การคร่ำ เป็นต้น เครื่องทอง
ที่นิยมทำกันมัก เป็นวัตถุเกี่ยวกับของสำคัญ และมีค่า เช่น เครื่องราชูปโภค
เครื่องยศ เครื่องใช้สอย เครื่องประดับ
เครื่องพุทธบูชา เครื่องประกอบ พิธีกรรมทางศาสนา พระพุทธรูป พระพิมพ์
แผ่นทองจารึก(สุพรรณบัฏ) ฯลฯ
3. เครื่องถม จัดเป็นงานประณีตศิลป์ชนิหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ
และสืบทอดต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของเครื่องถมไว้ว่า " เรียกภาชนะหรือเครื่องประดับที่ทำโดยใช้ผงยาดำผสมน้ำประสานทอง
ถมลงบนลวดลายที่แกะสลักบนภาชนะ หรือเครื่องประดับนั้น แล้วขัดผิวให้เงางามว่า
เครื่องถม หรือ ถม เช่น ถมนคร ถมทอง
ถมเงิน..." เครื่องถม มีหลายประเภท จำแนกได้ดงันี้
1. ถมดำ หรือ ถมเงิน เป็นการทำเครื่องถมที่เก่าที่สุด
ทำโดยการแกะสลักลวดลาย ลงบพื้นผิวภาชนะเครื่องเงิน จนเป็นร่องลึก
แล้วลงยาถมดำลงไปในร่องลึกนั้นจนเต็ม
2. ถมตะทอง โดยการใช้ "ทองเปียก" เป็นแผ่นทองบดละเอียดผสมปรอทบริสุทธิ์แล้วนำมาถมลายที่สลักไว้
3. ถมปัด ทำจากภาชนะที่เป็นทองแดงและลงน้ำยาสีต่าง ๆ
4. เครื่องมุก การประดับมุก
เป็นงานประณีตศิลป์ที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ในการตกแต่งวัสดุให้สวยงามของคนไทย
มาแต่โบราณ โดยใช้เปลือกหอยมุก ซึ่งมีทั้งหอยมุกทะเล และหอยมุกน้ำจืด นำมาฉลุเป็นลวดลายชิ้นเล็ก
ๆ ประดับลงไป
บนภาชนะ บานประตู หน้าต่าง ตู้ ฯลฯ โดยใช้รักสีดำ เป็นตัวเชื่อมให้ชิ้นมุก
เกาะติดฝังลงไปกับภาชนะ หรือวัสดุ สีขาวแกม
ชมพูและความแวววาวของหอยมุก จะตัดกับสีดำของรัก ทำให้ภาชนะ เครื่องใช้ หรือวัตถุชิ้นนั้น
ๆ สวยงามมาก ภาชนะที่
นิยมประดับมุก ได้แก่ พาน กล่อง หีบ เครื่องใช้สำหรับพระสงฆ์ ถาด ฯลฯ
5. ไม้แกะสลัก ไม้ที่นิยมนำมาแกะสลักมากที่สุด
คือ ไม้สัก ไม้ตะเคียน ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ชนชาติไทยมีฝีมือ
ทางด้านการแกะสลักไม้มาแต่โบราณ และมีศิลปวัตถุที่แกะสลักจากไม้เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากในภูมิภาคแถบนี้ มีไม้สัก
และไม้อื่นๆ ที่นำมาแกะสลักได้จำนวนมาก แต่ปัจจุบันได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้หาได้ยากขึ้น
ไม้แกะสลักมักนำมาทำเป็น
บานประตู หน้าต่าง พระพุทธรูป ลวดลายประดับตกแต่งอาคาร สิ่งของเครื่องใช้ต่าง
ๆ การแกะสลักไม้ มีขั้นตอนที่สำคัญ ๆ
อยู่ 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบลวดลาย การแกะสลักลาย และการตกแต่ง
6. เครื่องปั้นดินเผาไทย มนุษย์รู้จักทำเครื่องปั้นดินเผา
มาตั้งแต่สมัยหินกลาง ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อ 10,000-7,000 ปี
มาแล้ว และทำกันมาจนถึงปัจจุบัน ในทุกภูมิภาคของโลก อาจกล่าวได้ว่า ชาติใด
ๆ ก็รู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผาทั้งสิ้น ใน
ประเทศไทย มีการทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่ทุกภูมิภาค ในสมัยดั้งเดิมเป็นการเผาดินดิบ
ต่อมามีการเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบ และ
พัฒนามาสู่การเขียนลวดลายลักษณะต่าง ๆ จากสีเดียว (เอกรงค์) มาเป็นหลายสี
(พหุรงค์) ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งใช้สี
5 สี เรียกว่า ลายเบญจรงค์ และต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการเขียนลายทอง
ที่เรียกว่าเบญจรงค์ลายน้ำทอง
7. งาช้างแกะสลัก เป็นงานประณีตศิลป์ที่มีความละเอียด
และต้อใช้ฝีมือที่เชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง โดยปกติงาช้างเป็นของมีค่า
ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี เดิมมีสีขาวนวล เมื่อนานไป อาจเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นถึงน้ำตาล
และมีรอยแตกราน อย่างที่เรียกว่า
แตกลายงา งาช้างสลักนิยมนำมาทำเป็น พระพุทธรูป กล่อง หรือตลับ ตราสัญลักษณ์
ตุ๊กตา ด้ามหรือปลอกมีด ฯลฯ
8. เรือพระราชพิธี
เป็นงานประณีตศิลป์อีกประเภทหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ซึ่งผูกพันกันแม่น้ำมาตั้งแต่โบราณกาลโดยใช้เรือ
ชนิดต่าง ๆ เรือพระราชพิธี มักใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นริ้วขบวนเรือที่จัดขึ้นในการที่พระเจ้าอยู่หัว
เสด็จ
พระราชดำเนินไปในการต่าง ๆ ทั้งเป็นการส่วนพระองค์ และพระราชพิธี ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
การจัดชบวนพยุหยาตรา
ทางชลมารคนี้ กล่าวได้ว่า มีวิวัฒนาการมาจากการจัดกระบวนทัพเรือ ในยามว่างจึงมีการจัดขบวนทัพเพื่อฝึกซ้อม
มีการตกแต่ง
เรืออย่างสวยงาม และมีการประโคมดนตรี ไปในแระบวนเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานอีกด้วย
ถือเป็นการแสดงออกถึงความ
เป็นเอกลักษณ์ ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติไทยและพระราชวงศ์
ซึ่งมีอารยธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาล
งานหัตถกรรมเครื่องจักสานไม้ไผ่ หมวกกุยเล้ย
ผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่ เป็นหัตถกรรมดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเลือกสรรและนำเอาวัสดุที่มีอยู่ใกล้ตัวมาใช้ประโยชน์ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่สอดคล้องกับความต้องการใช้สอย
ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งมีวัตถุดิบตามธรรมชาติ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการจักสานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระบุง กระพ้อมใส่ข้าว หมวกใส่กันแดด แม้กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง ก็จะสานสุ่ม ลอบ ไซ ไว้ดักจับสัตว์น้ำ นับเป็นการดำรงชีวิตที่เหมาะสมกลมกลืนกับสภาพสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ อีกทั้งมีการถ่ายทอดความรู้ด้านการจักสาน ให้เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังตลอดมา
ตำบลปากน้ำ เป็นชุมชนหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีการสืบทอดการผลิตผลิตภัณฑ์ทางหัตถกรรมที่มีชื่อเสียง คือ หมวกกุยเล้ย โดยนำเอาวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ประกอบการผลิต
สืบต่อกันมายาวนานกว่า ๖๐ ปี นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าสนใจ ด้วยสามารถสร้างรายได้จนเป็นอาชีพให้กับท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงศิลปะและวัฒนธรรมของท้องถิ่น อันเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง
ข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้านของชุมชนตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรานี้ แสดงถึงวัฒนธรรมที่ควรศึกษาและอนุรักษ์ไว้ และชี้ให้เห็นถึงปัญหาอุปสรรคในการดำรงอยู่ของภูมิปัญญาในปัจจุบันว่า เสี่ยงต่อการสูญหายหรือสามารถคงอยู่ได้ ด้วยเหตุปัจจัยองค์ประกอบใด เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ ส่งเสริม หรือ ศึกษาวิจัยในโอกาสต่อไป
อาชีพจักสานหมวกกุยเล้ย เป็นงานหัตถกรรมท้องถิ่นของชุมชนตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา มายาวนาน โดยเริ่มจากชาวจีนอพยพที่เข้ามาอาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่แถวเกาะลัดในอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นผู้นำความรู้และถ่ายทอดกระบวนการผลิตให้กับคนท้องถิ่นอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งใช้วิธีการบอกเล่า ให้สังเกตและฝึกปฏิบัติ โดยมีสถาบันครอบครัวเป็นหลักในการสืบทอด
ต่อมามีหน่วยงานราชการได้แก่ โรงเรียนและพัฒนาชมชนเข้ามาสนับสนุนชาวบ้านตามนโยบายรัฐบาล ที่เน้นและต้องการฟื้นฟูเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยส่งเสริมการจักสานหมวกกุยเล้ยเป็นอาชีพเสริมของชุมชน หลังว่างจากการทำนา ทำสวน เลี้ยงกุ้ง ทำให้หมวกกุยเล้ยได้พัฒนามาเป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ประเภทเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง ระดับ ๔ ดาวของจังหวัดฉะเชิงเทรา
ปัจจุบันงานหัตถกรรมจักสานหมวกกุยเล้ยของชุมชนปากน้ำ มีแนวโน้มที่เสี่ยงต่อการสูญหายไปในอนาคต เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคในการผลิตที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากที่อื่น ปัญหาด้านการตลาดที่รองรับผลิตภัณฑ์มีน้อย ปัญหาแรงงานมีจำนวนลดลง เพราะคนในชุมชนหันไปประกอบอาชีพทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีค่าตอบแทนดีกว่า และปัญหาของผลิตภัณฑ์ที่ขาดการประยุกต์และออกแบบให้ตรงกับความต้องการทางการตลาด ปัจจัยของปัญหาเหล่านี้ ทำให้มองเห็นถึงแนวโน้มที่เสี่ยงต่อการสูญหายได้ หากไม่ได้รับการแก้ไข
พื้นฐานการดำเนินชีวิตและการถ่ายทอดหัตถกรรมพื้นบ้านในการผลิตหมวกกุยเล้ยของตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรานี้ อาศัยรากฐานความรู้ของชาวบ้าน และความรู้ที่มีการสืบทอดต่อๆ กันมา เป็นระยะเวลานานจนก่อเกิดเป็นองค์ความรู้และนำองค์ความรู้นั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิตที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และเกิดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือนิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งได้รับความนิยมและเป็นที่น่าสนใจ
สภาพเศรษฐกิจของชุมชนตำบลปากน้ำ ส่วนใหญ่ทำนา ทำสวน อาชีพรองลงมาคือการสานหมวกกุยเล้ย โดยมีจุดประสงค์พื้นฐาน เพื่อการใช้สอยในชีวิตประจำวันคือ ใส่คลุมศีรษะขณะทำนาหรือทำสวน ต่อมาเมื่อเป็นที่นิยมจึงผลิตจำหน่ายเป็นอาชีพ
โดยปกติการผลิตหมวกกุยเล้ยในช่วงแรกก็อาศัยวัตถุดิบที่หาได้ในบริเวณชุมชน แต่ปัจจุบันไม้ไผ่ที่จะนำมาผลิตมีปริมาณลดลงและหาได้ยาก จึงต้องอาศัยนำเข้าจากแหล่งวัตถุดิบอื่น คือ ซื้อจากอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ส่วนใบไผ่ก็ซื้อจากจังหวัดปราจีนบุรี นอกนั้นยังพอหาได้ในท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นต้นคล้า กระดาษถุงปุ๋ย หรือกระดาษถุงอาหารกุ้ง ปัญหาด้านวัตถุดิบที่ต้องซื้อทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น ทั้งค่าเดินทาง ค่าไม้ไผ่ และค่าใบไผ่ แต่ราคาหมวกที่ขายหรือส่งไม่ได้ปรับขึ้นตามราคาต้นทุนทำให้หลายครอบครัวเลิกสานหมวกขาย และหันไปประกอบอาชีพเสริมรายได้ทางอื่น เช่น เย็บกระเป๋าส่งโรงงาน ซึ่งมีรายได้ดีกว่า
จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งหาทางอนุรักษ์ พัฒนาหรือส่งเสริมให้หัตถกรรมเครื่องจักสานหมวกกุยเล้ย ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนตำบลปากน้ำนี้ ให้คงอยู่จากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะหัตถกรรมหมวกกุยเล้ยนี้เป็นภูมิปัญญาที่ได้จากการถ่ายทอด การสังเกตเรียนรู้ การศึกษาธรรมชาติโดยนำเอาวัตถุดิบพื้นบ้านมาทำเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันจนทำให้เกิดเป็นอาชีพ เกิดการพึ่งพาตนเอง และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตจนเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนของตำบลและของจังหวัดซึ่งคุณค่าในภูมิปัญญานี้สะท้อนและบ่งบอกถึงประโยชน์ด้านการใช้สอย ประวัติความเป็นมา ศิลปะและวัฒนธรรม ทำให้เกิดความรักความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและไม่ละทิ้งท้องถิ่นของตนให้เห็นได้เสมอมา
เกษตรกรในตำบลปากน้ำส่วนใหญ่ มักจะมีอุปกรณ์กันแดดกันฝนที่เรียกว่า “หมวกกุยเล้ย” ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากหมวกของคนไทย ที่เรียกว่า “งอบ” ที่ใช้กันโดยทั่วไป
กุยเล้ย เป็นคำที่เรียกหมวกแบบจีน บางทีก็อาจเรียกว่า “โก่ยโล้ย กุ่ยเละ หรือ หมวกเจ๊ก” ซึ่งชื่อเรียกทั้งหมดนี้หมายถึงหมวกชนิดเดียวกันที่มีลักษณะทรงกรวยหัวแหลมมีปีกกว้างกลม นิยมใส่เพื่อใช้ป้องกันแดดกันฝน ซึ่งในอดีตคนจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากกินในพื้นที่แถบนี้ อาชีพหลักคือ การทำสวนทำไร่ ได้นำเอาวัฒนธรรมการใช้หมวกกุยเล้ยนี้เข้ามาด้วย และได้ถ่ายทอดวิธีการผลิตแก่คนในท้องถิ่น จนมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย คุ้นเคย และยอมรับกันว่า หมวกเจ๊กนี้คือ เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนจีนต้นตำรับ และคนไทยได้รับสืบทอดมาเป็นมรดกทางภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นเวลายาวนานกว่า ๖๐ ปี จนหมวกกุยเล้ยของตำบลนี้เคยได้รับรางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์หัตกรรมพื้นบ้าน ของกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ มาแล้ว
หมวกกุยเล้ย จะประกอบด้วยวัสดุต่างๆ โดยมีไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก นอกนั้นจะประกอบด้วยใบไผ่ กระดาษถุงสีน้ำตาล ต้นคล้าหรือหวาย ขนาดของหมวกมี ๓ ขนาด คือ ใหญ่ กลาง เล็ก ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๗.๕, ๑๖.๕, และ ๑๔.๕ นิ้ว ขนาดที่นิยมทั่วไปคือขนาดกลาง ส่วนหมวกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษจะมีขนาดจิ๋ว ส่วนใหญ่จะใช้เป็นของที่ระลึก ซึ่งจะสานก็ต่อเมื่อมีผู้สนใจมาสั่งทำเป็นพิเศษ
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสานหมวกกุยเล้ยของชาวปากน้ำ อำเภอบางคล้านี้ จะใช้ไม้ไผ่นวล ใบไผ่ตง หวายหรือต้นคล้า และกระดาษถุงปูน ถุงปุ๋ย หรือถุงใส่อาหารกุ้ง ส่วนอุปกรณ์ก็ได้แก่ มีดผ่าไม้ กรรไกร และขันใส่น้ำ เป็นต้น และมีขั้นตอนการผลิตโดยทั่วไปดังนี้
๑. นำไม้ไผ่นวลที่มีลำปล้องยาว มาจักเป็นเส้นตอกให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ
๒. นำเส้นตอกที่จักแล้วมาสานเป็นโครงฝาหมวกด้านนอกและโครงฝาหมวกด้านใน ซึ่งจะ
สานโครงฝาหมวกด้านนอกก่อนด้วยการขึ้นโครงบนหุ่น และใช้ตอกเส้นเล็กมาใช้ในการสานเพื่อให้ดูแล้วรู้สึกว่างานมีความละเอียดประณีต โดยเริ่มจากส่วนแหลมปลายยอดของหมวกก่อน แล้วสานต่อลงมาเป็นตัวหมวก จากนั้นสานแผ่กลมออกไปเป็นปีกหมวก
๓. สานโครงฝาใน ด้วยวิธีการและขั้นตอนเช่นเดียวกับการสานโครงฝาด้านนอก แต่จะใช้เส้น
ตอกที่ใหญ่กว่า สานตาห่างกว่า ดูหยาบกว่า แต่แข็งแรงต่อการใช้งาน
๔. ตัดกระดาษถุงสีน้ำตาลให้เป็นเส้นแถบกว้างๆ แช่น้ำพร้อมใบไผ่ตง
๕. นำฝาโครงหมวกด้านนอก วางหงายลงในกระถาง แล้วนำเส้นแถบกระดาษถุงที่แช่น้ำจน
อ่อนตัว ปิดกรุลงบนโครงฝาหมวกจนรอบไร้ช่องรูโหว่ จากนั้นก็นำเอาใบไผ่ตงปิดทับลงบนกระดาษอีกชั้นหนึ่ง
๖. นำฝาโครงหมวกด้านใน วางหงายประกบซ้อนทับบนชั้นใบไผ่ แล้วร้อยตอกยึดโครงฝา
หมวกทั้งสองด้านเข้าด้วยกัน บริเวณยอดแหลมปลายหมวก
๗. นำเอาหมวกที่ได้มาเข้าขอบ โดยใช้เส้นตอกมาถักให้รอบ
๘. เก็บยอดหมวก โดยนำใบไผ่ ๒ ใบ วางไขว้แล้วพับงอเป็นรูปกรวยสวมครอบส่วนแหลม
ยอดหมวก จากนั้นใช้เส้นตอกผิวต้นคล้าหรือหวายมาถักคลุมอีกชั้นหนึ่ง เป็นการเก็บรายละเอียดส่วนยอดหมวก
๙. ทาน้ำมันยางทั้งด้านนอกและด้านในให้ทั่ว เพื่อเคลือบผิววัสดุให้มีความคงทนและสวยงาม
๑๐. ผึ่งให้แห้ง จากนั้นเก็บเพื่อนำไปจำหน่ายหรือใช้งานในโอกาสต่อไป
ผู้ประกอบการสานหมวกกุยเล้ยในชุมชนปากน้ำ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่ ๖ บ้านหินตั้ง และหมู่ที่ ๘ บ้านไร่ ของตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรานั้นมี นางสาธุ วงศ์พระราม, นางรักไทย สุขะ, นางสลับ นพพะ, นางประดับ เกลี้ยงเกลา, นางกานดา พรมมี, นายบุญคุ้ม นพพะ, นางซียเฮียง แซ่ตั้น, นางวินิจ บังเจริญ, นางโกสุม ชนะรอด และนางมณฑา กล้องเจริญ เป็นต้น
หมวกกุยเล้ย ผลิตภัณฑ์จักสานพื้นบ้านชุมชนตำบลปากน้ำ มีจุดกำเนิดของวัฒนธรรมจากประเทศจีน แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยตามการอพยพของพวกคนจีน และนำเอาองค์ความรู้ด้านหัตถกรรมการสานหมวกนี้เข้ามาด้วย เพื่อทำขึ้นใช้สอยกันในครอบครัว และด้วยความสนใจของคนไทยในท้องถิ่นของชุมชน อีกทั้งความเอื้ออารีย์ที่มีต่อกัน ความรู้นี้จึงได้ถูกถ่ายทอดและสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นความกลมกลืนกันของวัฒนธรรมต่างชนชาติ แม้รูปแบบของหมวกยังจะยังคงดำรงเอกลักษณ์ของความเป็นจีน ที่เห็นได้จากคำเรียกชื่อหมวกกุยเล้ย หรือจากการยอมรับว่าเป็นหมวกเจ๊ก แต่กลายเป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่นคนไทยในตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ช่วยสืบสานอนุรักษ์อารยธรรมทางภูมิปัญญานี้ไว้ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หมวกกุยเล้ย จึงอาจนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่ผู้เข้ามาอาศัยมอบเป็นของขวัญตอบแทนเจ้าของบ้านเจ้าของแผ่นดิน ด้วยการถ่ายทอดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้ให้สืบทอดและเก็บรักษาไว้จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ เป็นรายได้และเป็นอาชีพของชุมชน แต่น่าเสียดายที่การสร้างค่านิยมให้เกิดแก่ชุมชนโดยส่งเสริมภูมิปัญญานี้ แปรค่ามาเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ของตำบลจนเป็นอาชีพที่ทำรายได้นั้น ทำให้สารัตถะของหมวกกุยเล้ยถูกมองข้ามเห็นเป็นเพียงสินค้าหรือวัตถุทำรายได้ สร้างอาชีพเท่านั้น
ซึ่งจากการผลิตขึ้นเพื่อใช้สอยกันในครัวเรือนและซื้อขายแลกเปลี่ยนเมื่อเหลือใช้ กลับกลายเป็นอาชีพ เป็นธุรกิจ ที่มีการลงทุนลงแรงเพื่อหวังผลกำไร ทำให้วัตถุดิบในท้องถิ่นถูกใช้ไปอย่างเกินความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง และหมดลงโดยไม่สามารถปลูกชดเชยได้ทันต่อเวลา จนกระทั่งต้องนำเข้าจากต่างถิ่นด้วยการซื้อหรือลงทุน เมื่อตลาดลดลงต้นทุนสูงขึ้นรายได้ไม่คุ้มค่า ทำให้ภูมิปัญญาเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนี้ถูกละเลย ไปทำงานโรงงานที่เป็นอาชีพที่มีรายได้มากกว่า แม้โรงงานอาจปิดตัวลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจนคนในชุมชนอาจหวนกลับมาสานหมวกกุยเล้ยเป็นอาชีพที่รองรับสภาวะว่างงานของคนในชุมชน
แต่ค่านิยมแห่งความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของชุมชนจะหลงเหลือในจิตใจผู้สืบสานงานหมวกนี้สักเท่าใด และการปลูกฝังให้เห็นถึงคุณค่าแห่งอารยธรรมทางปัญญาของบรรพชนจะมีบ้างไหม หรือทำได้อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับคนท้องถิ่นพวกแรก ที่ปรารถนาอยากได้ความรู้จากชาวจีนอพยพแถวเกาะลัด
การถูกยกย่องเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ของตำบล มีจำนวนดาวหรือรางวัลเป็นหลักประกัน คงไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยมที่ฝังแน่นว่าผลิตภัณฑ์นี้คือ อาชีพคือรายได้ ให้กลับกลายมาเป็นรักและหวงแหนเพราะนี่คือ ภูมิปัญญาที่มีประวัติความเป็นมา นี่คือเอกลักษณ์ของท้องถิ่น นี้คือสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของเจ้าของภูมิปัญญาและผู้สืบทอดไปได้ ถ้าตราบใดที่เรายังยึดติดกับวัตถุส่งเสริมการสร้างวัตถุ จนลืมความสำคัญของจิตใจและส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในใจผู้สานหมวกกุยเล้ย ตราบนั้นเงินรายได้ก็จะมีอิทธิพลคุณค่ามากกว่าการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของท้องถิ่น
งานหัตถกรรมเครื่องจักสานอีจู้
พื้นที่ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกง มีแหล่งน้ำที่เป็นหนอง คลอง บึง อยู่ทั่วไป อีกทั้งมีบัวขึ้นอยู่มาก จึงเรียกพื้นที่นี้ว่าตำบลหนองบัว ซึ่งแหล่งน้ำเหล่านี้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำมากมาย ทำให้ชาวบ้านนอกจากทำการเกษตรกรรมแล้ว ยังทำการประมงเพื่อบริโภค และขายเป็นรายได้เพื่อยังชีพอีกทางหนึ่ง
เครื่องมือดักจับสัตว์น้ำหลากหลายชนิด แต่ละครัวเรือนต่างสามารถสานผลิตขึ้นไว้ใช้เอง และทำขายหากมีเวลาว่าง หรือมีผู้สนใจสั่งให้ทำ ครั้นเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไป รูปแบบการดำรงชีพก็เปลี่ยนไป การทำเครื่องมือเครื่องใช้ในการประมงก็ค่อยๆ หมดไป ที่ยังคงอยู่ และถูกเชิดชูให้เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น ก็คือ อีจู้ เครื่องจักสานสำหรับดักปลาไหล ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และมีพ่อค้าคนกลางจากตัวเมืองฉะเชิงเทรา จากอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และจากที่อื่นๆ มารับซื้อและสั่งทำ เพื่อนำไปขายในหลายๆ จังหวัด เช่น จังหวัดปราจีนบุรี นครนายก พระนครศรีอยุธยา และกาญจนบุรี เป็นต้น
การจัดเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์งานช่างฝีมือพื้นบ้านงานหัตถกรรมเครื่องจักสานอีจู้ ตำบลหนองบัวนี้ ก็เพื่อศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการดำรงอยู่ของภูมิปัญญานี้ว่าเสี่ยงต่อการสูญหาย หรือสามารถดำรงอยู่ได้ ด้วยเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบใด เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ ส่งเสริมพัฒนา หรือศึกษาวิจัยในโอกาสต่อไป
ตำบลหนองบัว ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอบ้านโพธิ์ อาชีพหลักดั้งเดิมของชาวบ้านคือการทำนา ในสมัยที่ยังใช้ควายไถนา อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไถ คาด ระหัด ชังโลง ลูกทุบ กังหัน และเลื่อน ชาวบ้านมักทำขึ้นใช้เอง นอกจากการทำนาแล้ว การทำประมง เพื่อบริโภคหรือหารายได้เสริม อุปกรณ์การจับสัตว์น้ำ เช่น ตะข้อง รอบ สุ่ม และอีจู้ ชาวบ้านก็ทำขึ้นใช้เองในครอบครัว และเมื่อมีเวลาว่างก็สานเครื่องมือเหล่านี้เพื่อขาย เป็นการหารายได้อีกทางหนึ่ง
ต่อมาเมื่อเส้นทางคมนาคมเปลี่ยนจากทางน้ำ มาเป็นถนนทางบก วิถีชีวิตของชาวบ้านก็เปลี่ยนแปลงพัฒนาไป มีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ เลี้ยงปลา แทนการทำนา คนรุ่นใหม่หลั่งไหลเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม แทนการทำงานด้านเกษตรกรรม หรือการประมง ดังเช่นอดีต แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก็คืองานจักสานเครื่องมือ เครื่องใช้ ที่คนเฒ่าคนแก่ยังคงสืบทอดการทำอย่างต่อเนื่อง แม้รายได้ไม่สามารถตั้งตัวได้ แต่ก็คุ้มค่ากับการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของบรรพชนในด้านงานหัตถกรรมมิให้สูญสิ้นไปจากท้องถิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสานอีจู้ เครื่องมือดักปลาไหล ที่ทำสืบเนื่องกันมายาวนานกว่า ๕๐ ปี โดยมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงบ้านทุกเดือน ตลอดทั้งปี จนบางครั้งสานให้ไม่ทันกับจำนวนที่สั่งซื้อ เนื่องจากผู้ประกอบการคือ ผู้สูงวัย และมีจำนวนไม่มาก แต่ความต้องการนั้นแพร่หลายไปตามจังหวัดต่างๆ มิใช่ของที่ระลึก หรือเครื่องประดับตกแต่ง แต่เป็นสิ่งที่ใช้จริงในวิถีชีวิตของผู้คนในการดักปลาไหล
ดังนั้นตราบใดที่ยังมีผู้บริโภคปลาไหล ยังมีผู้ดักจับปลาไหล ยังมีพ่อค้าคนกลางขายเครื่องมือดักจับ ยังมีผู้สานอีจู้ ภูมิปัญญาของท้องถิ่นตำบลหนองบัว ก็ยังคงดำรงอยู่ด้วยเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน แต่ถ้าเมื่อใดองค์ประกอบหนึ่งองค์ประกอบใดขาดหายไป ย่อมหมายถึงการสูญสิ้นของภูมิปัญญาท้องถิ่นย่อมขาดหายไปด้วย
วิถีชีวิตของชาวบ้าน หมู่ที่ ๔ บ้านทุ่งช้าง ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็เหมือนชีวิตชาวชนบททั่วๆ ไป คือส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนาเป็นหลัก เมื่อมีเวลาว่างก็จักสาน หาปลา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ไว้บริโภคหรือประหยัดรายจ่าย และถ้าเหลือจากการบริโภคในครัวเรือนแล้ว ก็จัดจำหน่าย เพื่อเป็นรายได้เสริม และถ้าสิ่งใดที่ทำแล้วสามารถสร้างรายได้มากก็จะทุ่มเทเวลาว่าง ไปสร้างรายได้ทางนั้นเป็นส่วนใหญ่ เช่น การจับสัตว์น้ำขาย หรือการทำเครื่องจักสานขาย เป็นต้น
พื้นที่ตั้งของตำบลหนองบัว มีหนอง คลอง บึง อยู่ทั่วไป การจับสัตว์น้ำเป็นอาชีพเสริม ก็ซื้อขายกันภายในท้องถิ่น เพื่อบริโภคกันในชีวิตประจำวัน แต่การจักสานเครื่องมือดักจับสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นตะข้อง รอบ สุ่ม ตุ้ม หรืออีจู้ นอกจากทำใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังมีคนภายนอกที่สนใจมารับซื้อ และทำส่งตลาดในตัวเมืองฉะเชิงเทรา หรือตลาดในตัวเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้คนในชุมชนบ้านทุ่งช้างมายาวนาน นับย้อนได้ราว ๕๐ -๖๐ ปี จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ โดยมีอีจู้ เครื่องมือดักปลาไหล ที่พ่อค้าคนกลางสั่งทำและรับซื้อตลอดทั้งปี โดยไม่จำกัดจำนวน
แต่ด้วยมูลเหตุแห่งค่านิยมการประกอบอาชีพของคนยุคใหม่ ต่างมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองหรือเข้าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมองการทำนาว่าลำบากเสียเวลา มองงานจักสานอีจู้ว่าได้เงินน้อยไม่พอกิน และตั้งตัวไม่ได้ จึงทำให้การสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลหนองบัวนี้ เป็นภาระของผู้สูงอายุที่อยู่บ้านว่างๆ รอผลผลิตจากพืชผลทางการเกษตร และเห็นคุณค่าของเงินค่าตอบแทน ที่พ่อค้าคนกลางนำมาให้ถึงบ้านถ้าไม่เกียจคร้าน อีกทั้งวัตถุดิบที่ใช้ในการสานคือไม้ไผ่ ก็มีพ่อค้านำมาขายให้ถึงบ้านเช่นกัน นับว่าสุขสบายกว่าคนรุ่นก่อนที่ต้องหาซื้อไม้ไผ่มาจักตอก เมื่อสานเป็นอีจู้ได้จำนวนมากพอแล้ว ก็ต้องใส่เรือพายบรรทุกไปส่งขายในเมือง ทุกวันนี้เพียงแค่ขยันก็สามารถสร้างรายได้ ได้ทุกวัน นับเป็นมุมมองของคนต่างวัยในพื้นที่เดียวกัน
อย่างไรก็ตามภูมิปัญญาท้องถิ่นงานหัตถกรรมเครื่องจักสานอีจู้ ที่ตำบลหนองบัวนี้ ยังคงอยู่ได้อีกนาน และวันข้างหน้าเมื่อคนหนุ่มคนสาวมีอายุมากขึ้น การดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในสังคมเมืองจะผลักดันให้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสงบที่บ้าน เมื่อนั้นพอมีเวลาว่าง ภูมิปัญญาท้องถิ่นก็จะถูกสืบสานจากผู้สูงอายุรุ่นปัจจุบันอย่างไม่ขาดช่วง
อีจู้หรือกระจู้ เป็นเครื่องมือดักปลาไหล ที่สานด้วยไม้ไผ่รูปร่างคล้ายขวดคอสูง ส่วนก้นและตัวกลมป่อง ส่วนคอเรียว ปากบาน มีงาแซง คือส่วนที่ทำเป็นซี่ ๆ ปลายสอบเข้าหากันเป็นทางเข้าของปลา และกันไม่ให้ปลาที่เข้าไปแล้ว ย้อนกลับออกมาได้ อยู่ที่ริมก้นของตัวอีจู้ การดักจะใช้เหยื่อซึ่งอาจจะเป็นหอยโข่งนาทุบ ปูตายทุบแหลก หรือเศษปลาเน่าใส่ไว้ในส่วนที่เรียกว่า รองหรือกะพล้อ ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ขัดห่างๆ เป็นรูปทรงกระบอกใส่ไว้ภายในตรงปากอีจู้ สามารถถอดเข้าออกได้
งานสานอีจู้ของตำบลหนองบัว มีการทำกันมานานกว่า ๕๐ ปีแล้ว โดยเริ่มที่คุณยายสาย ทองใบ ชาวบ้านทุ่งช้าง ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ใช้เวลาว่างจากงานเกษตรกรรม สานตะข้องขายแก่พ่อค้าในตัวเมืองฉะเชิงเทรา และเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี กระทั่งมีตาตุ๊ พ่อค้าเมืองฉะเชิงเทราได้เอาอีจู้ให้คุณยายสายกลับไปลองทำดู ปรากฎว่าสามารถทำตามต้นแบบได้ จึงมีการสั่งทำและให้นำไปส่งขายนับแต่นั้นมา
การทดลองทำอีจู้ลูกแรกของคุณยายสาย ทองใบ ในครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลหนองบัวในงานหัตถกรรมเครื่องจักสานอีจู้ เพราะหลังจากนั้นก็มีชาวผู้สนใจมาเรียนรู้ และสานขายกันเป็นที่แพร่หลายในท้องถิ่น จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เมื่อถนนเข้าถึงชุมชนพ่อค้าคนกลางก็เข้ามารับซื้อไปจัดจำหน่ายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้ผู้ประกอบการแต่ละครัวเรือนจะมิได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจากหน่วยงานใด ให้เป็นธุรกิจชุมชน หรือกลุ่มแม่บ้านงานสานอีจู้ ต่างยังคงใช้เวลาว่าง ซื้อลำไม้ไผ่ที่พ่อค้านำมาขายถึงบ้าน จักเป็นตอก สานเป็นอีจู้ อยู่ที่บ้านใครบ้านมัน แล้วนำมาฝากรวมขายที่บ้านป้าสุพร ทองใบ ลูกสะใภ้คุณยายสาย ทองใบ ที่บ้านเลขที่ ๑ หมู่ ๔ บ้านทุ่งช้าง ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒๔๑๔๐ หรือที่บ้านป้ามณี หมอกเจริญ หมู่ที่ ๓ บ้านดอนสีนนท์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ขั้นตอนการสานอีจู้
อีจู้ประกอบด้วยส่วนต่างๆ คือ ตัวอีจู้ งาแซง หรืองาข้าง และรองหรือกะพล้อ
การสานตัวอีจู้ เริ่มจากการสานก้นให้มีขนาดกว้าง ๒๐ เซนติเมตร จากนั้นตั้งเส้นตอกสานเป็นตัวอีจู้ด้วยตอกเส้นนอนให้มีลักษณะกลมป่องตอนกลาง แล้วเรียวคอดคล้ายคอขวดตรงคอ จากนั้นนำกะลามาวางเป็นแม่แบบเพื่อสานส่วนปากให้บานออก ความสูงจากส่วนก้นถึงส่วนปากของตัวอีจู้ ประมาณ ๑ เมตร
การสานงาแซง หรืองาข้าง โดยนำเส้นตอกขดเป็นวงกลม เรียกว่าตั้งวงงา จากนั้นนำตอกไม้เสียบตั้งเรียงรอบวงให้ปลายสอบเข้าหากันเป็นรูปกรวย เรียกขั้นตอนนี้ว่าเสียบงา แล้วจึงนำเส้นตอกสานแนวนอนรัดร้อยไม้ตอกแนวตั้งเข้าด้วยกันให้เหลือปลายกรวยไว้เป็นทางเข้าของปลา ขั้นตอนนี้คือการสานงา
การสานรองหรือกะพล้อ เริ่มจากการสานก้นขนาด ๘ เซนติเมตร แล้วตั้งเส้นตอก สานขัดกันเป็นรูปทรงกระบอก จากนั้นนำกะลามาวางเป็นแม่แบบเพื่อสานส่วนปากให้บานออก ความสูงจากส่วนก้นถึงส่วนปากของรอง หรือกะพล้อ ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร
เมื่อสานเสร็จก็เจาะริมก้นตัวอีจู้ ยัดงาแซงใส่เข้าไป แล้วใช้ไม้เหลาเสียบยึดกับตัว แล้วเอารองหรือกะพล้อใส่ลงไปทางปาก แล้วเสียบยึดไว้ สุดท้ายนำเอาอีจู้ที่สำเร็จไปลนควันไฟ เพื่อไม่ให้มีเสี้ยนขุยไม้และกันมิให้มอดกินเนื้อไม้อีกทางหนึ่ง
อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีคำขวัญของอำเภอที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของพื้นที่ว่า“แดนแห่งคลอง สองฝั่งบางปะกง ดงกุ้ง ปลา ไก่ไข่ ขนมไทยเผยแพร่ แห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำ” จะเห็นได้ว่าอำเภอนี้มีแม่น้ำบางปะกงไหลผ่าน และมีคลอง หนองบึง อยู่ทั่วไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คือสัตว์น้ำ อันได้แก่ กุ้ง ปลา ตลอดจนมีวัฒนธรรมความเชื่อที่ถือเป็นประเพณีสืบต่อมายาวนาน คือ การแห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำมาที่อำเภอนี้
ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่หนึ่งตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกง มีแหล่งน้ำและทรัพยากรทางธรรมชาติอยู่ทั่วไป ทำให้ชาวบ้านในท้องถิ่นนอกจากประกอบอาชีพเกษตรกรรมแล้วยังทำประมง เพื่อบริโภคและขายเป็นรายได้เสริม โดยทำเครื่องมือเครื่องใช้ในการดักจับสัตว์น้ำเองหลากหลายรูปแบบ อีจู้ก็เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาของท้องถิ่นที่มีการทำใช้ ทำขายกันมายาวนาน ๕๐ กว่าปี
อีจู้ดักปลาไหล เป็นสิ่งที่บ่งบอกเรื่องราวทางภูมิปัญญาด้านต่างๆ ที่แฝงเร้นได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติทั้ง กุ้ง ปู ปลา หลากหลายชนิด มีมากจนให้เลือกบริโภคได้ว่าจะกินชนิดใด ก็สร้างเครื่องมือขึ้นมาดักจับเฉพาะชนิดที่ต้องการ อีจู้สร้างขึ้นมาดักจับเฉพาะปลาไหลส่วนปลาอื่นๆ ก็เก็บรักษาไว้เพื่อจับบริโภคในโอกาสต่อไป ด้วยเครื่องมือชนิดอื่น ซึ่งนอกจากอีจู้แล้ว ยังมีเครื่องมือดักจับปลาไหลอีกชนิดหนึ่ง คือ ลัน ทำให้เห็นว่าปลาไหลเป็นที่นิยมบริโภคกัน จนผู้คนในอดีตต่างคิดสร้าง เครื่องมือดักจับกันมาในรูปแบบต่างๆ ดังที่ปรากฎ
นอกจากบ่งชี้ให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมทางการบริโภค ที่ประสงค์เฉพาะสิ่งใดก็เลือกเฉพาะสิ่งนั้น ไม่กระทบถึงสิ่งแวดล้อมอื่น ไม่ทำลายคลุมไปหมดดังเช่นปัจจุบัน อีกทั้งยังบ่งชี้ให้เห็นถึงการทำความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนในอดีตเป็นอย่างดี จากองค์ประกอบของอีจู้คือ ส่วนที่เรียกว่า รองหรือกะพล้อ ไว้ใส่อาหารหรือเหยื่อล่อ คือตัวบ่งชี้ความเข้าใจในธรรมชาติ ของปลาไหลว่าชอบอะไร ส่วนที่เป็นงาข้างหรืองาแซง ซึ่งเป็นช่องทางเข้าของปลาไหลนั้น จะต้องวางตุ้มให้งาแซงอยู่ในระดับพื้นดินใต้น้ำ เพราะปลาไหลอาศัยอยู่ในโคลนเลน เมื่อได้กลิ่นเหยื่อจะหาทางเข้าไปกิน คือเข้าช่องงาแซงนั้น และการดักปลาไหล จะดักในน้ำนิ่งตามริมหนอง คลอง บึง หรือตามแปลงนา ความลึกของน้ำไม่มาก ต้องให้ส่วนปลายปากอีจู้โผล่พ้นน้ำ เพราะปลาไหลจะขึ้นไม่ได้ ที่สำคัญกะพล้อใส่เหยื่อจะกันไม่ให้ปลาไหลกินเหยื่อได้ ทำให้เหยื่อไม่หมด ปลาไหลตัวอื่นๆ จะเข้าไปอีก เช่นนี้คือภูมิปัญญา หรือการเอารัดเอาเปรียบก็สุดจะชี้ชัดได้
ส่วนการสานอีจู้ ที่หมู่ ๓ และหมู่ ๔ ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปัจจุบันเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นทางด้านงานฝีมือจักสานอีจู้เท่านั้น คือสานขายแก่พ่อค้าคนกลาง มิใช่ทำใช้ในครัวเรือน ดังนั้นคนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ หากถามวิธีใช้กับคนทำบางทีก็ไม่ได้คำตอบนอกจากรอยยิ้มกับหน้าที่สายไปมา ทำให้อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
การเขียนฉากลิเก
การเขียนฉากลิเกของ นายเศกสม สุขสว่าง ชาวชุมชนตำบลโสธร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นงานช่างฝีมือพื้นบ้านที่ดำเนินกิจการอาชีพนี้มานานกว่า ๒๐ ปี
ฉากลิเก นับเป็นส่วนประกอบสำคัญของการแสดงลิเก เพื่อให้ดูสมจริงตามเนื้อเรื่องที่แสดงใน
แต่ละตอน เช่น ในท้องพระโรง การเดินทางในป่า และการดำเนินชีวิตตามทุ่งนา ชนบท เป็นต้น ซึ่งจินตนาการสร้างสรรค์ฉากของช่างเขียน ถ่ายทอดผ่านฝีแปรงและปลายพู่กัน ให้เป็นภาพสวยงามตระการตา ตั้งตระหง่านหลังนักแสดง สร้างบรรยากาศให้ผู้ชมเกิดจินตนาการคล้อยตามเนื้อเรื่องที่แสดงนั้นๆ ได้ นับว่าช่างผู้รังสรรค์ฉากเป็นผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลังการแสดงนั้น ช่วยเติมเต็มให้แก่การแสดงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การจัดเก็บข้อมูลงานผลิตภัณฑ์การเขียนฉากลิเกของชาวชุมชนตำบลโสธรนี้ เพื่อบันทึกและแสดงให้เห็นถึง ผู้ที่มีภาพผลงานอยู่เบื้องหลังการแสดงของตัวลิเกคณะต่างๆ แม้สถานภาพทางสังคมของผู้ประกอบการ ไม่สามารถเปรียบกับ ศิลปินหรือจิตรกรตามค่านิยมในสาขางานด้านจิตรกรรมได้ แต่งช่างเขียนภาพระบายสีฉากลิเก ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตนในการแสดงออก จนมักถูกนำไปอุปมาอุปไมยเปรียบเปรยกับงานจิตรกรรมด้วยคำว่า ภาพที่วาดสีที่ระบายคล้ายฉากลิเก หรือภาพนี้ดูลิเกจริงๆ เป็นต้น
ลักษณะหรือเอกลักษณ์ของภาพฉากลิเก ประสบการณ์การเรียนรู้ ทักษะประสบการณ์ของช่าง ประวัติความเป็นมาของส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งมวล ล้วนนับเป็นจุดหมายของการจัดเก็บข้อมูลนี้
ลิเก เป็นมหรสพของชาวบ้าน มีจุดกำเนิดมาจากการสวดบูชาของพวกมุสลิม ต่อมาพวกคนไทยที่สนใจในการแสดงนี้ได้เลียนแบบและพลิกแพลงการแสดง โดยคิดการสวดให้แปลกหูแปลกตาไกลออกจากเรื่องศาสนา มาเป็นเรื่องของความบันเทิง จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นอาชีพหนึ่งของการแสดงไปในที่สุด
ฉากลิเก เป็นสิ่งที่จะพบเห็นควบคู่ไปกับการแสดงลิเก เพราะฉากลิเกเป็นสีสันที่ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการแสดงนั้น ให้ดูสมจริงในแต่ละฉากแต่ละตอนที่แสดง
ช่างเขียนฉากลิเก ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ดำเนินชีวิตควบคู่ไปกับอาชีพการแสดงลิเก แต่ช่างเขียนฉากคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง มิได้ออกไปปรากฏตัวบนเวทีเหมือนนักแสดง จึงมีน้อยคนที่ดูลิเกจะรู้หรือสนใจว่า ฉากเบื้องหลังนักแสดงนั้นสร้างขึ้นโดยใคร แม้ฉากจะได้รับความชื่นชมจากคนดู นักแสดง หรือเจ้าของคณะลิเกมากเพียงใด ความนิยมนั้นก็ไม่อาจส่งผลให้ช่างเขียนฉากกลายเป็นศิลปินหรือจิตกรในวงการศิลปะไปได้
นับวันช่างเขียนฉากอาชีพมีจำนวนน้อยลง เพราะขาดการส่งเสริม ขาดการสืบสานจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งลิเกที่เคยเป็นความนิยมของชาวบ้านในอดีต กำลังถูกมองว่าเป็นมหรสพที่ตกยุคล้าสมัยในปัจจุบัน นั่นเท่ากับเป็นผลกระทบถึงฉากและช่างเขียนฉากด้วย และที่สำคัญเทคโนโลยีเครื่องจักรกลด้านการพิมพ์กำลังทำให้ความนิยมด้านงานผีมือลดน้อยลง ฉากลิเกที่ผลิตด้วยเครื่องจักรกำลังทำให้อาชีพช่างฝีมือเขียนฉากจะตกงาน
หากไม่รีบหาทางแก้ไข ในไม่ช้าช่างฝีมือเขียนฉากลิเกคงเหลือเพียงข้อมูลให้ได้เรียนรู้ว่า อดีตที่ผ่านมาเราเคยมีสิ่งดีๆ เหล่านี้ในท้องถิ่นบ้านเมืองเรา
การเขียนฉากลิเก เป็นจินตนาการสร้างสรรค์ เป็นภูมิปัญญาช่างที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดผ่านสื่อวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ด้วยทักษะความชำนาญ ให้เป็นรูปร่างทรงมีสีสัน บรรยากาศ เป็นเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ บนผืนผ้าขนาดกว้างใหญ่ที่เรียกว่า ฉากลิเก
การถ่ายทอดจินตนาการให้ออกมาเป็นรูปทรงได้นั้น ย่อมมีขั้นตอนที่เป็นภูมิรู้ภูมิปัญญาแฝงเร้นอยู่ทุกขั้นตอน และอารยธรรมทางปัญญานี้ก็ถูกถ่ายทอดด้วยเทคนิควิธีต่างๆ จากบุคคลสู่บุคคล จากรุ่นสู่รุ่น ดำรงสืบทอดให้ปรากฏเห็นอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะมีผู้สนใจและรักศิลปะวิทยาสาขาการเขียนฉากลิเกนี้อยู่
แต่ในปัจจุบันอาชีพช่างเขียนฉากลิเก มิได้ถูกยกระดับให้เทียบเท่าศิลปินหรือจิตรกรผู้ประกอบอาชีพสร้างงานจิตรกรรม ฉากลิเกก็ดูเป็นเพียงภาพวาดระบายสีมิใช่งานวิจิตรศิลป์ มิใช่งานจิตรกรรมที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ฉากลิเกก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีประวัติศาสตร์แห่งความเป็นมา มีวิวัฒนาการ มีบทบาทหน้าที่เฉกเช่นภาพเขียนสีอื่นๆ แต่ความสนใจที่จะศึกษาเรียนรู้จากผู้สนใจในศิลปะนั้นน้อยยิ่ง แม้แต่ในสถาบันสอนศิลปะก็ไม่เคยมีหลักสูตรการสอนวิชาที่ว่าด้วยจิตรกรรมด้านฉากลิเก ความรู้นี้จึงเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่สืบทอดสอนต่อกันเองผ่านทายาททางสายเลือด หรือทายาทที่มีใจรักในสิ่งเดียวกัน
ทำให้นับวันช่างฝีมือแขนงนี้กำลังจะสูญไปจากท้องถิ่น การศึกษาเก็บข้อมูลนี้ก็เพื่อจุดประสงค์สำคัญ คือ
๑. ศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของลิเก
๒. ศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของฉากลิเก
๓. เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบทของช่างเขียนฉากลิเกท้องถิ่น นายเศกสม สุขสว่าง ชาวชุมชน
ตำบลโสธร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ลิเก
การแสดงลิเกแต่เดิมเรียกว่า ดจิเก เป็นการสวดบูชาพระอัลล่าห์ ของพวกมุสลิมนิกายซิอิทหรือเจ้าเซ็น แพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามการอพยพของพวกมุสลิมนิกายนี้จากเปอร์เซียหรืออิหร่าน
ครั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ มีหลักฐานบันทึกว่า ชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ ได้ร่วมกันแสดงลิเกถวายหน้าพระที่นั่ง เนื่องในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
(พระนางเรือล่ม) ซึ่งเป็นการแสดงตามแบบแผนดั้งเดิมทางศาสนาอิสลาม โดยสวดเป็นลำนำตามตำรา ประกอบเข้ากับจังหวะรำมะนา
คนไทยสมัยนั้นชอบใจและได้สวดเลียนแบบ ต่อมาลิเกสวดแขกตามแบบแผนดั้งเดิม ได้ถูกพลิกแพลงการแสดงออกเป็น ๒ แนว ได้แก่ แนวที่เรียกว่า ละกูเยา เป็นการแสดงว่ากลอนด้นแก้กัน เชือดเฉือนกันด้วยคารมรุนแรง อันเป็นที่มาของลิเกลำตัดหรือลำตัด ส่วนอีกแนวหนึ่งเรียกว่า ฮันดาเลาะ เป็นการแสดงละครชุดสั้นประกอบเพลง ต่อมาได้พัฒนาเป็นลิเกบันตน ลิเกลูกบท และลิเกทรงเครื่อง ตามลำดับ
ลิเกดังที่กล่าวมานี้ มีลักษณะคล้ายลิเกที่ยังคงแสดงกันอยู่ทางภาคใต้ของไทย - ปัจจุบัน คือ
ลิเกฮูลู ที่ใช้ภาษาสูงในการแสดง และลิเกบารัตที่ใช้ภาษาง่ายๆ และเต็มไปด้วยการตลกโปกฮา
ในกรุงเทพฯ ลิเกเป็นมหรสพที่ชาวบ้านให้ความนิยมกันมาก นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ ลิเกได้ขยายไปสู่ชนบท โดยมีคณะลิเกเร่ออกไปเล่นตามต่างจังหวัด เรื่องที่เล่นก็แปรไปเป็นนิทานพื้นบ้านบ้าง นำไปผสมกับการละเล่นพื้นเมืองบ้าง ทำให้เกิดความนิยมลิเกขึ้นตามต่างจังหวัด จนชาวบ้านพื้นเมืองพากันจัดตั้งคณะลิเกของตนขึ้น ยึดถือการแสดงเป็นอาชีพ และพัฒนาปรับปรุงจนเป็นมหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของแต่ละจังหวัด
สิ่งสำคัญที่ทำให้ลิเกยืนยงมาได้ตลอดก็คือ ลักษณะและค่านิยมแบบไทย และมีอิสระในการแสดง ทำให้สามารถผสมผสานเข้ากันได้กับสังคมทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน
ฉากลิเก
ฉาก คือ เครื่องบังหรือกั้น หรือเป็นเครื่องประกอบเวทีการแสดง เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูสมจริงตามเนื้อเรื่องที่แสดงนั้นๆ เช่น ฉากป่า ฉากเมือง เป็นต้น
ลิเกที่แสดงตามแบบแผนดั้งเดิมทางศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่า ดจิเก นั้น จะเล่นบนลานดินหรือบนเวทียกพื้น ไม่มีฉาก ครั้นมีการพลิกแพลงการแสดงมาเป็นเรื่องราวอย่างละครชุดสั้นๆ ที่เรียกว่า
ลิเกบันตน ลิเกลูกบท และลิเกทรงเครื่องแล้ว ฉากก็เริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการแสดง เพื่อบัง กั้นแบ่งพื้นที่เวทีการแสดงนั้นออกเป็นสัดส่วนให้เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้งาน
ฉากลิเกแต่เริ่มแรกเป็นเพียงผ้าม่านเรียบๆ ขึงกับเวทีเป็นหน้าโรงและในโรง มีประตูเข้า-ออก ที่ด้านข้าง ต่อมาภายหลังจึงสร้างฉากที่เขียนเป็นภาพ ประกอบการแสดงให้ดูสมจริง สันนิษฐานว่าน่าจะได้อิทธิพลมาจากฉากงิ้วตามโรงบ่อน ที่ลิเกแสดงสลับอยู่นั้นมาเป็นแบบอย่าง
ฉากลิเกที่มีการเขียนภาพระบายสี จึงมิใช่เป็นเพียงเครื่องกั้นแบ่งเวทีแต่เพียงอย่างเดียว กลับช่วยสร้างบรรยากาศและสถานที่ในการแสดงนั้น ให้คนดูเข้าใจและรู้สึกสมจริงตามเนื้อเรื่องที่แสดง ยิ่งในปัจจุบันเวทีการแสดงได้พัฒนาส่วนประกอบด้านแสง สี และเสียงให้ดูตระการตาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการเล่นแสงอุลตราไวโอเลตหรือแสงสีม่วง ทำให้ฉากลิเกมีการใช้สีสะท้อนแสงเข้ามาประกอบ เพื่อสร้างมิติการมองให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น และช่วยขับเน้นให้ตัวผู้แสดงดูเด่นเมื่อเปิดแสงดังกล่าว ทำให้กระตุ้นเร้าความสนใจของผู้ดูได้มากยิ่งขึ้น
ช่างเขียนฉากลิเก
งานเขียนฉากลิเกเป็นงานช่างฝีมือทางด้านจิตรกรรม ที่เรียกวิธีการสร้างงานนี้เรียกว่าเป็นการเขียนภาพระบายสี
การเขียนภาพระบายสี อาจสร้างสรรค์ภาพผลงานได้หลากหลายระดับ นับตั้งแต่งานจิตรกรรมที่ล้ำค่า จนถึงงานเขียนป้าย เขียนฉาก และเขียนภาพประดับรถสองแถว รถสิบล้อ ที่ดูเป็นงานที่ต่ำต้อยด้อยค่านิยม ซึ่งโดยทั่วไปช่างเขียนภาพหรือจิตรกร จะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากแหล่งการศึกษา อาจเป็นจากสถาบันการศึกษาด้านศิลปะโดยตรง หรืออาจเป็นเพียงสถานประกอบการอาชีพของท้องถิ่น
ช่างเศกสม สุขสว่าง ได้รับความรู้ด้านการเขียนฉากลิเกจากแหล่งความรู้ที่มิใช่สถานศึกษา เขาเกิดเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่จังหวัดชลบุรี หลังจบการศึกษาชั้น ป.๔ ก็ออกมาจับงานด้านการแสดงด้านหนังตะลุง โขนสด และลิเกเป็นอาชีพ ในคณะการแสดงของ นายนิยม สุขสว่าง ผู้เป็นบิดา คือคณะ “เศกสมนิยมศิลป์” ที่เอาชื่อตนเองและบิดาตั้งเป็นชื่อคณะให้โดยอดีต เจ้าอาวาส วัดพุทธิรังษี
นอกจากแสดงอยู่ในคณะของบิดาแล้ว ยังเป็นนักแสดงรับจ้างอิสระที่คณะใดก็สามารถว่าจ้างให้เข้าร่วมแสดงได้ กระทั่งมี
นายประสิทธิ์ ขาวสะอาด เจ้าของคณะลิเก “ป.วิจิตรกร” ซึ่งเป็นชาวคณะจังหวัดสระบุรี ได้ว่าจ้างให้เข้าร่วมแสดงในคณะ เมื่อว่างจากการแสดงลิเก นายประสิทธิ์ก็สอนให้เรียนรู้เรื่องการเขียนฉากลิเก เพราะเขาเป็นช่างเขียนฉากลิเกด้วย ฝึกฝนเรียนรู้ได้ระดับหนึ่งจึงกลับมาตั้งตัวที่บ้านเลขที่ ๘/๗ หมู่ ๖ ตำบลโสธร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา รหัสไปรษณีย์ ๒๔๐๐๐
โดยสืบทอดรับผิดชอบคณะหนังตะลุง โขนสดและลิเกต่อจากบิดา คือ คณะเศกสมนิยมศิลป์ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนอกจากรับงานด้านการแสดงต่างๆ แล้ว ยังรับจ้างเขียนฉากลิเกอีกทางหนึ่งด้วย จากปากต่อปากและจากผลงานที่ปรากฏมีคณะลิเกจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้ว่าจ้างให้เขียนฉากมาตลอด โดยมีบุตรทั้ง ๕ คือ นายนเรศ, นายปิยะ, นางสาวสุทธิษา, นายจิราวุฒิ, และนายคมสันต์ สุขสว่าง เป็นผู้ช่วย และรับสืบทอดความรู้ทั้งทางด้านการแสดงและการเขียนฉากลิเกมาตลอด
ขั้นตอนการเขียนฉากลิเกของช่างเศกสม สุขสว่าง มีดังนี้
๑. ขั้นออกแบบ หลังรับการว่าจ้างจะออกแบบรูป แสดงเนื้อหา
เรื่องราว ตามจุดประสงค์ของผู้ว่าจ้าง ว่าเป็นฉากในรูปแบบใด ซึ่งบางทีผู้ว่าจ้างจะกำหนดเจาะจงว่าเอารูปแบบแบบใด
๒. ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ คือ การเตรียมผ้ามาเย็บต่อให้ได้ขนาดตามที่กำหนด การขึงผ้าให้ตึง
การเตรียมเครื่องมือในการร่างภาพและระบายสี
๓. ขั้นปฏิบัติการ จะเริ่มร่างภาพลายเส้นเป็นรูปตามที่ออกแบบไว้ จากนั้นก็จะลงสีในส่วน
ต่างๆ ตามเส้นโครงที่ร่างไว้ แล้วจึงตัดเส้นตกแต่ง ให้ภาพเด่นชัดขึ้น
หลังเสร็จสิ้นการสร้างงานก็จะรอจนสีแห้ง จึงพับม้วนฉากสำเร็จเก็บส่งให้แก่ผู้ว่าจ้าง เพื่อนำไปใช้ประกอบในการแสดงต่อไป ซึ่งฉากลิเกที่วาดในช่วงแรกๆ จะมีการลงชื่อ เพื่อให้ผู้ดูรู้ถึงแหล่งที่มา แต่ระยะหลังไม่ลงชื่อ เพราะคิดว่าตนเป็นที่รู้จักของวงการนี้แล้ว การลงชื่อจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป ที่อยู่ก็อยู่ที่เดิม เพียงแต่เพิ่มเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวกขึ้น คือ เบอร์บ้าน ๐๓๘-๘๑๓-๓๔๒ และเบอร์มือถือส่วนตัว ๐๘๑-๕๗๕-๔๘๘
ในภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ของช่างเขียนฉากลิเก อาจแยกเป็นลำดับเพื่อความเข้าใจดังนี้
๑. ด้านความรู้ ช่างต้องมีความรู้ในด้านการออกแบบ โดยการ
จินตนาการและคิดสร้างสรรค์รูปแบบต่างๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาเรื่องราวของการแสดง ทั้งโครงสร้างภาพโดยรวมและรายละเอียดตกแต่งในโครงสร้างภาพ ช่างเศกสม สุขสว่าง มีความรู้พื้นฐานด้านการแสดงลิเกมาก่อนทำให้เข้าใจในสารัตถะของฉากลิเก และจิตวิญญาณของลิเก ทำให้สามารถสร้างจินตนาการภาพสู่การออกแบบฉากได้อย่างเหมาะสมกับการนำไปใช้ ทำให้เป็นที่นิยมของลิเกคณะต่างๆ ทั่วประเทศ
๒. ด้านทักษะ ความคิดและจินตนาการนั้นมีอยู่ในทุกคน แต่การถ่ายทอดความคิดและ
จินตนาการ ให้ได้ตรงกับที่คิดนั้นเป็นสิ่งที่ยากหากมิได้รับการฝึกฝน จนเกิดเป็นทักษะและความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน หรือการวาดภาพ ระบายสี ช่างเขียนฉากลิเกต้องเรียนรู้และฝึกฝนวิธีใช้เครื่องมือ คือ ดินสอ แปรง พู่กัน สี ฯลฯ ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน จนถึงขั้นได้ดั่งใจจึงถือว่ามีทักษะ ความชำนาญ
๓. ด้านหลักทฤษฎี แม้ช่างเศกสม จะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากสถานประกอบการด้วย
การปฏิบัติก่อน แล้วค่อยๆ แนะนำให้ปรับปรุงแก้ไข ให้จดจำไว้เป็นหลักปฏิบัติ ซึ่งต่างจากสถานศึกษาที่สอนหลักเกณฑ์ทฤษฎีก่อน แล้วจึงให้ลงมือปฏิบัติ แต่หลังจากปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานกว่า ๒๐ ปี ทักษะความชำนาญจากการปฏิบัติ ได้ตกผลึกสรุปเป็นทฤษฎีความรู้ต่างๆ ที่ช่างเศกสมถ่ายทอดให้แก่บุตรทั้ง ๕ ได้แก่ ความรู้เรื่องหลักการเขียนภาพ หลักการจัดองค์ประกอบ หลักทางทัศนียวิทยา หลักการใช้สี กายวิภาครูปร่างรูปทรงของสิ่งต่างๆ ฯ ซึ่งหลักทฤษฎีต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากการสรุปประสบการณ์เป็นภูมิรู้ด้วยตนเอง
๔. เอกลักษณ์ของช่าง ในช่วงแรกหลังเสร็จสิ้นการเขียนฉากลิเก ช่างเศกสมจะลงลายมือชื่อ
ในผลงาน เพื่อให้ผู้ชมรู้ว่าเป็นฝีมือของตน แต่ระยะหลัง ไม่ลงลายมือชื่อกำกับในผลงาน ด้วยเหตุผลเฉพาะตัวว่า คนในแวดวงลิเกส่วนมากเมื่อเห็นฉากที่ตนทำออกไป ปัจจุบันสามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นของตนทั้งนี้เนื่องจากฉากที่ทำ มีลักษณะเฉพาะตัวต่างไปจากของช่างอื่น คือ การใช้สีที่สดใส สะท้อนแสง ลวดลายมีความละเอียด ประณีต เป็นต้น
๕. เอกลักษณ์เฉพาะของฉากลิเก ฉากลิเก แม้จะมีลักษณะเป็นงานจิตรกรรม แต่ก็ไม่ใช่งาน
จิตรกรรม เนื่องจากลักษณะเฉพาะของฉากลิเก มิใช่ภาพเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในตัวเอง แต่จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อถูกนำไปจัดประกอบร่วมกับการแสดง ฉากลิเกเป็นภาพวาดที่มีจุดสนใจอยู่นอกภาพ อันได้แก่ตัวลิเก เนื้อหาในภาพจะทำหน้าที่นำสายตาผู้ดูไปยังจุดสนใจ และพาความรู้สึกคนดูให้ขับเคลื่อนไปกับการร้องรำ ทำให้ฉากเกิดสีสัน บรรยากาศ คล้ายมีชีวิตที่กลมกลืนไปกับการแสดงนั้น ฉากลิเกจึงเน้นเพียงภาพพื้นหลัง ที่มีนักแสดงเป็นหัวใจหรือจุดสนใจของภาพ ต่างจากงานจิตรกรรมที่มีจุดสนใจในภาพ
๖. ลักษณะต่างของช่างเขียนกับจิตรกร จิตรกรทีสร้างสรรค์งานจิตรกรรม จะพยายาม
หลีกเลี่ยงการใช้สี ลวดลาย และรูปลักษะที่ดูแล้วเป็นฉากลิเก แต่ช่างเขียนฉากลิเกต้องสร้างฉากที่ไม่ใช่งานจิตรกรรม นั่นคือการใช้สีของจิตรกรมิใช่แบบเขียนฉากลิเก และการใช้สีของช่างเขียนฉากลิเกก็ไม่ใช่แบบสร้างงานจิตรกรรม และที่สำคัญฉากลิเกที่วาดโดยช่างเขียนฉากหรือโดยตัวลิเกย่อมสามารถสร้างจิตวิญญาณในภาพ ให้มีชีวิตที่กลมกลืนไปกับการแสดงได้มากกว่าฉากลิเกที่วาดโดยจิตรกรหรือศิลปินด้านจิตรกรรม นี่คือข้อแตกต่างที่น่าจะมีการศึกษาเปรียบเทียบ หรือวิจัยหาเอกลักษณ์อันเป็นลักษณะเฉพาะเหล่านี้ เพราะคนทำงานจิตรกรรมถ้ามาวาดฉากลิเกก็ได้เพียงแต่ภาพ แต่จะขาดจิตวิญญาณแห่งลักษณะเฉพาะของลิเกอย่างแน่นอน
๗. ข้อสรุป ทักษะความรู้หลักทฤษฎีตลอดจนเอกลักษณ์ของช่างเศกสม สุขสว่าง เหล่านี้ แม้
จะถ่ายทอดให้กับบุตรทั้งห้า ก็เป็นแต่เพียงวาจา ที่มิได้จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร วันหนึ่งข้างหน้าภูมิรู้เหล่านี้ย่อมสูญหายไปกับกาลเวลาอย่างแน่นอนอีกทั้งปัจจุบันผลกระทบจากการแสดงลิเกได้รับความนิยมจากคนดูน้อยลงทำให้งานเขียนฉากลดลง และการพิมพ์ผ้า vinyl กำลังเป็นที่นิยมของผู้คนในวงการต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคณะลิเก ทำให้ช่างฝีมือไม่สามารถต้านกระแสงานพิมพ์ด้วยเครื่องจักรได้ งานเขียนฉากก็ลดลงอีกทางหนึ่ง
แม้ทัศนะมุมมองของช่างเศกสม ที่มีความเห็นว่า “ลิเกจะไม่มีวันหมดไปจากสังคมไทย ตราบใดที่วัดยังจัดงาน เพราะงานวัดถ้าไม่มีลิเกก็จะไม่มีคนแก่ออกมาดู และจะไม่มีคนทำบุญให้กับวัดเพราะคนทำบุญเป็นคนแก่ที่ยังชอบดูลิเก” หรือ “งานเขียนฉากลิเกแม้จะมีระบบการพิมพ์เข้ามาตีตลาด แต่ภาพที่พิมพ์นั้นดูแล้วไม่มีชีวิต ต่างจากภาพที่วาดด้วยฝีมือคน แม้งานจะลดลงแต่ก็ยังมีผู้ว่าจ้างที่เห็นคุณค่าความแตกต่างของงานนี้ มาให้วาดฉากอยู่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาชีพภูมิปัญญาด้านการเขียนฉากลิเกจะยังไม่หมดหรือสูญหายไปในช่วงเวลานี้
แต่ถ้าในวันหนึ่งช่างหรือผู้สืบทอดหมดไป จะเหลืออะไรให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าชุมชนโสธร
จังหวัดฉะเชิงเทรา เคยมีช่างเขียนฉากลิเกปรากฏอยู่