ช่างแกะสลักหินอ่างศิลา (ทำครก)
การแกะสลักหินอ่างศิลาหรือภาษาช่างพื้นถิ่นที่นี่เรียกว่า “ตีหิน” เป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะ “การตีครก” หรือ “การแกะสลักครก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านดั้งเดิมของอ่างศิลามาแต่ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และมีชาวบ้านในหลายครัวเรือนได้ใช้เวลาว่างจากการทำประมงมาตีหินทำครกเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง หรือมีอีกหลายครัวเรือนได้หันมาประกอบอาชีพตีหินนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
นายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ เจ้าของร้านรุ่งเรืองศิลาทิพย์เป็นช่างตีหินทำครกอีกผู้หนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เชิงช่างแกะสลักครกหินมากจากบิดา (นายไฮ้ แซ่ลี้) และได้ใช้ภูมิรู้นี้ในการประกอบอาชีพมากว่า ๑๐ ปี พร้อม ๆ ไปกับฝึกฝนช่างรุ่นใหม่ ๆ ให้มีการเรียนรู้กรรมวิธีงานช่างทำครกหินให้แพร่หลายออกไป อันจะเป็นการช่วยอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาเชิงช่างแขนงนี้ไม่ให้สูญหายไปก่อนเวลาอันควร
ปัจจุบันการแกะสลักหินของนายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ไม่จำกัดเฉพาะการแกะสลักครกหินเท่านั้น หากแต่มีการแกะสลักเป็นรูปทรงต่าง ๆ อีกหลายแบบได้แก่ สิงโตหิน ช้างหิน โต๊ะหิน เจ้าแม่กวนอิม และแกะสลักเครื่องตกแต่งสวนทำด้วยหินเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์จากหินรูปแบบใหม่ค่อนข้างจะได้รับความสนใจจากลูกค้า และทำกำไรได้ดีกว่าการแกะสลักครกเดิม จึงมีผลให้นายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์ ต้องหันไปพัฒนาการแกะสลักหินรูปแบบใหม่ให้เป็นทางเลือกของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนกรณีผลของการจัดเก็บข้อมูลในครั้งนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเป็นฐานข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการแกะสลักหินอ่างศิลา (ตีหิน) ให้มีระบบระเบียบตามกระบวนการจัดเก็บรวบรวมที่ชัดเจน ให้ผู้สนใจสามารถค้นคว้าศึกษาได้สะดวกรวดเร็วพร้อมไปกับช่วยอนุรักษ์งานช่างฝีมือพื้นบ้านไม่ให้สูญไป
การแกะสลักหินอ่างศิลา เป็นภูมิปัญญางานช่างที่มีจุดกำเนิดบริเวณแหลมแท่น ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (แต่เดิมเรียกว่าตำบลบางพระ) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เมื่อครั้งพระศิลาการวิจารณ์มาทำศิลาในการพระพุทธรัตน
สฐานที่แหล่มแท่น โดยได้อาศัยการสกัดหินแกรนิตตรงโขดหินบริเวณชายหาดออกเป็นก้อน ๆ แล้วจึงขนย้ายเข้ากรุงเทพฯ การทำหินในครั้งแรกนั้นจะเป็นการสกัดหินออกไปเพื่อใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมเป็นหลัก จนต่อมาในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีชาวจีนได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงแหลมแท่น และได้ริเริ่มสกัดโขดหินตรงแหล่มแท่นออกมาใช้ทำเป็นป้ายฮวงซุ้ย โม่หิน เป็นชิ้นงานในระยะแรก
การแกะสลักหินในรูปผลิตภัณฑ์ครกมีพัฒนาการต่อมาที่อ่างศิลาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อยด้วยการอาศัยหินแกรนิตที่อ่างศิลาที่มีเนื้อหินเป็นเหล็กเพชร เมื่อนำมาทำเป็นครกแล้วจะออกสีเนื้อมันปูหรือออกทางสีขาวนวลอย่างสวยงาม ส่วนรูปแบบของครกนั้นมีที่มาจากการดัดแปลงรูปทรงจากกระถางธูปไหว้เจ้าของจีน ซึ่งมีจุดสังเกตคือมีปุ่มนูนสองข้างครกหรือที่เรียกว่าหูอย่างเด่นชัด นอกจากนั้นช่างที่อ่างศิลายังได้พัฒนาปรับปรุงรูปแบบครกให้มีลักษณะเป็นรูปทรงอื่น ๆ อีกหลายแบบ ได้แก่ ครกขา ครกกะเบือ ครกฟักทอง และครกฟูเกลียว พร้อมไปกับออกแบบลวดลายแกะลงบนตัวครก เช่น ลายกระจัง ลายกงจักร ลายธรรมจักร ลายตาอวน (ลายข้าวหลามตัด) ลายเกลียว ฯลฯ
กรรมวิธีการผ่าหิน ตีหิน (แกะสลักหิน) ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของช่างที่สำคัญในการสังเกตด้วยตาและรับรู้ด้วยโสตประสาทเพื่อการจำแนกแยกแยะลักษณะของหินที่มีคุณภาพ และการสลักหินให้ขาดออกจากกันตามขนาดที่ต้องการ ภูมิรู้เช่นที่ว่านี้ช่างจะต้องมีประสาทการได้ยินเสียงที่ดีสามารถจำแนกแยกแยะเสียงจากการเคาะได้ออกว่า เสียงแบบใดเป็นตัวหินมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งไม่เกิดรอยร้าวภายใน เช่น มีเสียงดังกังวาลแจ่มใสตัวหินนี้จะใช้ได้ แต่ถ้าเสียงดังพลุ ๆ หรือดังอ่อนนุ่มแสดงว่าก้อนหินตายไม่เหมาะจะใช้แกะสลัก หรือการผ่าหินให้ขาดออกจากกันจะต้องวางแนวร่องในการตีหินไปตามชั้นหินเป็นต้น กระบวนการแกะสลักต้องมีหินที่เรียกว่า “หุ่น” เป็นแบบมีลักษณะเป็นหุ่นครกแบบคร่าว ๆ และมีเศษหินก้อนเล็กจะใช้ทำเป็นท่อนสำหรับทำไม้ตีพริก (สาก) ส่วนกรรมวิธีแกะสลักครกนั้นต้องเริ่มจากด้านในก่อนโดยเจาะเป็นหลุมลึกลงไปขนาดพอเหมาะกับความต้องการ จากนั้นจึงมาตกแต่งผิวด้านนอกให้เรียบร้อยด้วยเครื่องมือ (แต้) หรือด้วยการขัดหินด้วยเครื่องขัดหิน
การแกะสลักหินอ่างศิลาหากจะวิเคราะห์รูปแบบของผลงานที่ถูกทำขึ้นจะมีหลายชนิดเป็นต้นว่าครก โม่ ป้ายฮวงซุ้ย ใบเสมา หรือรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น กรณีของครกตามที่ได้มีการศึกษามานั้น งานช่างประเภทนี้ข้อมูลที่ได้จัดเป็นข้อมูลทั่วไปยังมีการสืบสานงานประเภทนี้อยู่มาก ส่วนการทำโม่หินในปัจจุบันข้อมูลส่วนนี้น่าเป็นห่วงมากขาดการสืบสานต่อมาภายหลังและน่าจะมีการศึกษาเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติมอีกครั้ง
วัฒนธรรมการรับประทานน้ำพริกของคนไทยมีมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยหากแต่กรรมวิธีในการปรุงรสยังไม่มีความพิถีพิถันมากนัก ส่วนมากจะเป็นเพียงคั่วให้หอมและตำให้ละเอียดผสมเกลือลงไปให้มีรสชาติเผ็ด เค็ม เท่านี้ก็นับว่าอร่อยได้รสชาติแล้วสำหรับคนในสมัยโบราณ เพราะเมื่อนำไปรับประทานร่วมกับปลาและผักสดซึ่งมีคุณค่าอาหารสูงก็นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่งน้ำพริกจึงจัดเป็นอาหารชูรสของไทยมาตลอด และการปรุงน้ำพริกให้อร่อยนี้นิยมทำกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี ก็คือการตำ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการประดิษฐ์เครื่องบดหรือเครื่องปั่นอาหารออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย และช่วยทุนแรงการตำน้ำพริกตามวิธีการเดิมเป็นอย่างยิ่งก็ตาม แต่ปรากฎว่าไม่มีเครื่องบดอาหารชนิดใดสามารถทำน้ำพริกให้แหลกละเอียดและมีรสชาติอร่อยถูกปากคนไทยได้เท่ากับการตำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีความสำคัญคู่กับน้ำพริกและวัฒนธรรมการปรุงอาหารของคนไทยที่ให้น้ำพริกมีความอร่อยถูกปากถูกใจขึ้นมาก็คือ ครก อุปกรณ์ปรุงอาหารคู่ครัวของคนไทยมาทุกยุคสมัย และเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตการกินอยู่ได้เป็นอย่างดี
“ครกไทย” ดั้งเดิมทำมาจากดินเผาและปูนแดง ส่วนไม่ตีพริกทำมาจากไม้เนื้อแข็งเพื่อให้มีน้ำหนักในการโขลกและตำให้แหลกละเอียดโดยเร็ว ครกแบบเดิมนั้นมีข้อเสียคือ ครกแตกพังง่ายต้องทำขึ้นใช้ใหม่อยู่เสมอ ๆ นอกจากนั้นครกสมัยโบราณยังนิยมทำด้วยไม้ขนาดใหญ่มาขุดเจาะทำเป็นหลุมครก ส่วนมากใช้สำหรับตำข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร เรียกครกชนิดนี้ว่า “ครกกระเดื่อง” ส่วนครกที่ใช้ในครัวเรือนมีขนาดเล็กและนิยมปั้นด้วยดิน เรียกว่า “ครกกะเบือ” ซึ่งครกแบบหลังนี้มีข้อจำกัดในการนำมาใช้ไม่สามารถตำน้ำพริกได้ครั้งละมาก ๆ และถ้าตำแรงเกินไปครกก็จะแตก
ต่อมาเมื่อช่างตีหินที่อ่างศิลาได้มีการประยุกต์แบบของครกหินขึ้นมาใช้ ซึ่งด้วยความแข็งแรงทนทาน และการโขลกน้ำพริกได้ละเอียดอย่างรวดเร็วกว่าครกดินเผาเดิม ครกหินจึงเริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในช่วงระยะแรกจะมีใช้กันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ผู้มีฐานนะก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มแพร่หลายไปยังประชาชนทั่วไปโดยลำดับ และด้วยคุณภาพของครกที่อ่างศิลาทั้งการเลือกใช้หินที่ดี มีกระบวนการผลิตการแกะสลักอย่างพิถีพิถันจึงส่งผลให้ครกอ่างศิลาเป็นผลิตภัณฑ์งานช่างที่เป็นที่ต้องการของลูกค้าเรื่อยมาซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชื่อ “ครกหินอ่างศิลา” ได้กลายเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ที่แหล่งทำครกในที่อื่น ๆ มักจะนำไปแอบอ้างเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความเชื่อถือยอมรับในครกหินของตนไปพร้อมกัน
ปัจจุบันการประกอบอาชีพตีหิน (แกะสลักหิน) กำลังได้รับผลกระทบจาก “ผลิตภัณฑ์หินทรายเทียม” ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายจากแหล่งผลิตที่ด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งด้วยรูปลักษณะที่สะดุดตาและราคาย่อมเยา และวัสดุที่ผลิตมีธรรมชาติใกล้เคียงหินแท้จึงทำให้ผลิตภัณฑ์หินทรายเทียมได้กลายเป็นสินค้าที่เข้ามาตีตลาด ผลิตภัณฑ์การแกะสลักหินอ่างศิลาเดิมให้ชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระดับกลางและล่างอันเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่นิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอ่างศิลาและบางแสนแห่งนี้
ชายฝั่งทะเลบริเวณบ้านอ่างศิลา บ้านแหลมแท่น อำเภอเมืองชลบุรี ชายหาดด้านหน้าและพื้นทีต่อเนื่องด้านในมีโขดหินแกรนิตที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินตรงเนินด้านหลังวัดอ่างศิลานอก และตามชายหาดที่เป็นโขดหินตั้งขึ้นระเกะระกะมากมายหลายขนาด หินแกรนิตที่งอกขึ้นมาตามแนวชายฝั่งตั้งแต่บ้านอ่างศิลาลงไปจัดได้ว่าเป็นหินแกรนิตที่ดี และด้วยความอุดมสมบูรณ์จากแหล่งหินธรรมชาติและตัวหินแกรนิตมีคุณภาพ พื้นที่แหล่งหินแถบอ่างศิลาและแหลมแท่นได้เป็นที่สนใจของช่างทำหินในช่วงต่าง ๆ ได้เดินทางมาตั้งหลักปักฐานออกขุดตัดหินแกรนิตแห่งนี้ไปใช้สอยในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด
โดยการทำหินครั้งแรกเริ่มต้นที่แหลมแท่น ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี ก่อนเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยช่างชื่อ “พระศิลาการวิจารณ์” เพื่อนำแผ่นหินไปใช้ในการพระพุทธรัตนสฐานในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาจึงมีชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยตรงโขดหินที่แหลมแท่นแล้วเริ่มสกัดหิน ผ่าหินทำเป็นโม่ ทำเป็นป้ายฮวงซุ้ย เป็นชิ้นงานแรก ๆ ต่อมาจึงได้พัฒนามาแกะสลักครกหินขึ้นที่อ่างศิลา ช่างตีหินคนสำคัญในช่วงแรกได้แก่ นายหยงยู้ แซ่เจ็ง นายแปะรู้ แซ่ลี่ นายเล่าโง้ว แซ่โง้ว นายเหนี่ยวอิ้ว แซ่ตั้ง นายบักท้ง แซ่ตั้ง นายพะเห้ง แซ่ลี่ และนายตงเห้ง แซ่เจ็ง
การแกะสลักครกหินหรือ “การตีครก” “ตีหิน” ของช่างแถบอ่างศิลามาเริ่มขึ้นภายหลังเมื่อมีการควบคุมการขุดตัดหินตรงแหลมแท่น ช่างจึงได้เริ่มขยับขยายมาที่อ่างศิลาด้วยการอาศัยแหล่งหินแกรนิตด้านหลังวัดอ่างศิลานอกเป็นวัสดุหลักทดแทนหินจากแหลมแท่นเดิม ในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๙–๒๕๐๐ ได้มีชาวจีนรุ่นหลังได้เดินทางเข้ามาประกอบอาชีพช่างตีหินเพิ่มมากขึ้น เช่น นายซิวเซ็ง แซ่เอี้ยว นายลุ้น แซ่แต้ (บิดาของนายขจร รุ่งเรืองศิลาทิพย์) เป็นต้น ช่างจากจีนที่เข้ามาส่วนใหญ่เคยเป็นช่างทำหินจากจีนมาก่อน ฝีมือยังไม่ถึงขั้นแกะสลักเป็นรูปทรงที่สวยงามได้
การเข้ามารับงานตีหินทำครกในชั้นแรกจึงเป็นไปได้ไม่ยากนัก ในช่วงพ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมาธุรกิจการแกะสลักครกหินได้กลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และจอมพลสฤิษด์ ธนะรัฐต์ ได้พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและตากอากาศขึ้นที่บางแสน การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของผู้คนจึงเพิ่มปริมาณขึ้นไปพร้อมกัน ซึ่งการพัฒนาการท่องเที่ยวนี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญต่อการประกอบอาชีพครกหินให้ขยายตัวเช่นเดียวกัน จนต้องชักชวนให้ชาวบ้านอื่น ๆ ในพื้นที่บ้านอ่างศิลาและใกล้เคียงได้หันมาทำครกหินด้วยกัน จนในที่สุดได้กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมของหมู่บ้านแถบอ่างศิลาไปโดยปริยาย
การกำเนิดการแกะสลักหิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเรื่องของ “น้ำพริก” นับเป็นอาหารชูรสของคนไทยมาโดยตลอด และการปรุงน้ำพริกให้อร่อยที่นิยมทำกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี คือ “การใช้วิธีการตำ” ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีเครื่องมือบดอาหารทำน้ำพริกให้แหลกละเอียดได้อย่างรวดเร็วทันใจมากมายหลายแบบแล้วก็ตาม ทว่าการใช้เครื่องมือทุ่นแรงเหล่านั้นกลับไม่สามารถช่วยให้รสชาติการทำน้ำพริกได้อร่อยถูกปากเท่ากับการตำอยู่ดี หากถามว่า การรับรู้ถึงรสชาติถึงความกลมกล่อมจากการตำด้วยครก ข้างต้นเป็นการคิดเอาเองหรือเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งตามการประกอบอาหารของครอบครัวไทยเท่าที่ผ่านมาในหลายครอบครัวต่างก็ได้ลงความเห็นว่า การตำน้ำพริกด้วยครกจะช่วยชูรสน้ำพริกให้เอล็ดอร่อยมากกว่าเดิม
คนไทยสมัยก่อนใช้ครกกะเบือในการบดอาหารให้แหลกเรื่อยมา จนถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการติดต่อค้าขายกับเมืองจีน จึงทำให้วิถีการกินอยู่บ้างด้านของคนไทยให้เปลี่ยนแปลงไป เช่นการใช้ครกหินมาตำน้ำพริกแทนครกดินเผาตามแบบเดิม โดยเชื่อว่าครกหินสามารถโขลกเครื่องน้ำพริกได้ละเอียดรวดเร็วกว่าครกดินเผา ความสะดวกจากการใช้งานของครกหินรูปแบบใหม่จึงมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ครกหินได้รับความนิยมในเวลาต่อมา และมีแหล่งทำครกดั้งเดิมอยู่ที่จังหวัดชลบุรีบริเวณตำบลแสนสุข ตำบลอ่างศิลา และตำบลเสม็ด โดยเฉพาะที่ตำบลอ่างศิลาเป็นแหล่งทำครกหินที่สำคัญ และมีแหล่งผลิตเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินแกรนิตที่ตำบลอ่างศิลาถือว่าเป็นหินที่นำมาทำครกได้เป็นอย่างดี
กรรมวิธีแกะสลักหิน
การแกะสลักหิน หรือ “การตีนหิน” หรือ “การทำครก” ในเอกสารฉบับการวิเคราะห์นี้คือ คำ หรือความหมายที่นำมาใช้เพื่อการขยายความภูมิปัญญาเชิงช่างเรื่องการแกะสลักหินที่อ่างศิลาเป็นหลัก ซึ่งการถือกำเนิดที่นี่เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นต้นแบบให้ช่างในถิ่นอื่น เช่น เขาอีโต้ ตำบลบางพระ จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลหินกอง จังหวัดสระบุรี อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้วเป็นต้น ส่วนวิธีการสำหรับนำไปใช้ในการแกะสลักของแต่ละท้องถิ่นได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามช่วงเวลา ส่วนกรณีการแกะสลักหินหรือการทำครกที่อ่างศิลานั้นบางส่วนยังคงเทคนิคกรรมวิธีในการแกะสลักหินแบบเดิมไว้โดยสามารถจำแนกวิธีการได้ดังนี้
๑. เครื่องมือ เครื่องมือแกะสลักหินใช้ทำครกแบบดั้งเดิมของช่างพื้นบ้านอ่างศิลาและใกล้เคียงมีลักษณะไม่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่เน้นการใช้ด้วยมือเป็นหลัก ไม่มีเครื่องมือทุ่นแรงมากนัก และมีเครื่องมืออุปกรณ์บางตัวช่างต้องทำมันขึ้นมาเพื่อใช้ประจำตัว เพื่อให้สามารถหยิบจับได้ถนัดคือและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้ด้วยมือของช่างอ่างศิลาสามารถจำแนกตามชื่อเครื่องมือแบบพื้นบ้านดังนี้คือ ลิ่ม จ๋ำ แต้ พก และพง (ดูตารางที่ ๑)
ตารางที่ ๑ เครื่องมือตีหินแบบดั้งเดิม
เลขที่ ชื่อ รูปลักษณะการใช้งาน ขนาด ภาพประกอบ
๑ ลิ่ม เหล็กกล้าตัวด้ามกลม ส่วนปลายแบนใช้สำหรับผ่าหิน ด้วยค้อน ๑๔ ปอนด์ กว้าง ๑๑/๒ นิ้ว
ยาว ๘ นิ้ว
๒ จ๋ำ เหล็กปลายแหลมตัวใหญ่ไว้ขึ้นรูป ตัวเล็กไว้เก็บแต่ง ยาว ๖-๗ นิ้ว
กว้าง ๑ นิ้ว
๓ แต้ เหล็กปลายตัดไว้แต่งมุม
ลบเหลี่ยม ยาว ๗ นิ้ว
๔ พก เหล็กพกค้อนใหญ่ใช้เชือกมัด
ยาว ๑๖ นิ้ว ปลายพกแบนชุบแข็ง ใช้ผ่าหิน ด้วยค้อน ๑๔ ปอนด์ หนา ๑๑/๒ นิ้ว
ยาว ๒.๔ นิ้ว
๕ พง (ปากเขี้ยว) เหล็กหนาส่วนปลายแบนทำเป็นซี่ (มีดเล็บ) หุ้มด้วยทองเหลือง ใช้เกลาแต่งผิวหินปลายแบนเก็บละเอียดเรียก “พงเกี้ย” ยาว ๖ นิ้ว
๖ ต๊อก เหล็ก ๑ นิ้ว ต่อปลายด้วยมีด เล็ก ขนาด ๑ ซ.ม. และหุ้มทองเหลืองใช้แกะแต่งส่วนละเอียด ยาว ๗ นิ้ว
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการแกะสลักอื่น ๆ อีกได้แก่ ค้อนลบเหลี่ยม ค้อนเก็บละเอียด ไม้ลาก วงเวียน (โบราณทำจาไม้ไผ่) หมึกจีน น้ำ เป็นต้น
๒. การผ่าหิน กรรมวิธีผ่าหินเมื่อก่อนไม่มีการใช้ระเบิดเพื่อการย่อยหิน หรือเครื่องมือกล (Power Tools) เพื่อการสกัด ผ่าหิน แกะสลัก ฯลฯ เช่นทุกวันนี้ หากแต่ขั้นตอนในการทำงานจะใช้เครื่องมือที่คิดขึ้นจากภูมิปัญญาของช่างเอง หรือใช้เครื่องมือที่ใช้ด้วยมือ (Hand Tools) เป็นอุปกรณ์หลัก เช่นการผ่าหิน ก็จะนำ “ลิ่ม” มาเจาะรูลงบนหินให้เป็นแนวตามขนาดยาว (กว้าง) ของก้อนหิน (แผ่นหิน) ก่อน แล้วจึงใช้ “จั๋ม” (เหล็กสกัด) เจาะรูให้ลึกลงไป หลักจากนั้นจึงใช้เหล็กลิ่มอัดด้วยการใช้ค้อนใหญ่ตอกให้ก้อนหินแตกออกจากกันเป็นก้อนย่อม ๆ
การผ่าหินอีกแบบหนึ่งเป็นการผ่าหินขนาดใหญ่มีการใช้เครื่องมือกล และเครื่องมือทุ่นแรงเข้าช่วย ได้แก่ เครื่องมือลม ปั๊มลม ลิ่มและปีก หรือ “ลิ่มเบ่ง” เป็นต้น การผ่าหินแบบนี้กรรมวิธีจะต้องเริ่มจากการใช้ค้อนลมเจาะรูนำลงบนหินก่อนเป็นช่วง ๆ ไปตามแนวเส้นที่แบ่งไว้ รูที่เจาะมีความลึกตื้นจะขึ้นอยู่กับขนาดความหนา ความใหญ่ของก้อนหิน (ในการนี้ก่อนเจาะต้องเลือกใช้ก้านเจาะให้เหมาะสมกับความหนาของก้อนหินด้วย) หลังจากนั้นถ้าใช้ลิ่มเบ่งแบบเดิมก็ให้สอดปีกส่วนของปลายแหลม (หรือหัว) ตั้งขึ้นจากช่องที่เจาะไว้ แล้วตามด้วยสอดลิ่มไว้ตรงกลางระหว่างปีกให้ครบตามรูที่ได้เจาะวางเข้าไว้ หลังจากนั้นจึงใช้ค้อนปอนด์ (น้ำหนักของค้อนหนักเบาขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนหิน) ตีลงบนโคนลิ่มของแต่ละจุดสลับกันไปมาจนก้อนหินค่อย ๆ แยกออกจากกัน กรณีการใช้ลิ่มเบ่งขนาดใหญ่ “ตัวลิ่มและปีก” จะประกอบเป็นชุดเดียวกัน วิธีใช้เพียงแต่สอดใส่ชุดอุปกรณ์นี้ลงไปก็สามารถใช้การได้โดยทันที ไม่ยุ่งยากเหมือนแบบเดิม
การผ่าหินตามกรรมวิธีแบบเก่า ต้องใช้เวลานานด้วยการทอนหินหรือลดขนาดของหินให้มีขนาดย่อมลง และให้ได้รูปที่ต้องการ กรรมวิธีแบบนี้ยังมีใช้กันอยู่บ้างด้วยไม่ต้องลงทุนมาก และสามารถใช้เครื่องมือที่ใช้ด้วยมือ (Hand Tools) แบบพื้น ๆ ได้ เช่น ใช้เหล็กสกัดตีลงบนก้อนหินที่ต้องการจะผ่าให้เกิดเป็นหลุมและเป็นแนวตามระยะที่ต้องการจะผ่า แล้วใช้ลิ่มขนาดยาว ๑ ฟุต สอดลงไปและพยายามตีลงไปที่โคนลิ่มให้หนักเฉลี่ยให้ทั่ว ตีไปสักพักก้อนหินจะค่อย ๆ แตกร้าวแยกออกจากกัน
ข้อควรระวัง การใช้แรงตีของค้อนต้องมีน้ำหนักแรงที่สม่ำเสมอ และตีซ้ำ ๆ ตรงโคนลิ่มให้เฉลี่ยทั่วกัน อีกทั้งขณะผ่าหินต้องพยายามสังเกตแนวของหินด้วยว่า แนววิ่งไปทางใดมากที่สุด เวลาผ่าหรือตัดหินให้เน้นไปตามแนวนั้น ซึ่งแนวของหินมีลักษณะเป็นเสี้ยนเกล็ดหินเล็ก ๆ วิ่งไปแนวเดียวกันบ้าง ย้อนกลับบ้าง วางขวางบ้างไม่แน่นอน การผ่าหรือตัดหินต้องตีไปตามแนวที่วิ่งไปทางเดียวกันให้มากที่สุด เพราะจะทำให้ตัดหรือสกัดให้ขาดได้ง่ายที่สุด การไม่ตัดหินตามแนวจะทำให้ได้เนื้อหินน้อย เพราะหินจะเสี้ยวไม่เป็นไปตามกำหนด เช่น แทนที่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมกลับไม่เป็นรูปอะไรเลย เพราะหินที่ตัดไว้นั้นเสี้ยวมากไม่สามารถบังคับแนวเส้นที่จะตัดได้ตามขนาดต้องการ
๓. ขั้นตอนการแกะสลัก
การแกะสลักหินของช่างพื้นบ้านอ่างศิลาและเสม็ด เมื่อก่อนมีกรรมวิธียุ่งยากมากเพราะต้องไปสลักหินจากโขดหินชายทะเลที่แหลมแท่น หรือหลังวัดอ่างศิลา เพื่อให้ได้ขนาดของแท่งหินที่ได้ส่วนประมาณยาว ๒ เมตร กว้าง ๑ เมตร หนา ๑ เมตร และสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายออกไปใช้งานได้ หลังจากนั้นจึงนำมาตัดและย่อยเป็นก้อนให้เล็กลงตามลำดับจนได้ขนาดหินสูง ๑๐ - ๑๒ นิ้ว กว้าง ๑๐ นิ้ว สำหรับทำโม่ ส่วนทำครกมีความสูงประมาณ ๔-๖ นิ้ว กว้าง ๗-๘ นิ้ว ส่วนเศษหินก้อนเล็ก ๆ จะถูกย่อยให้เป็นท่อนสำหรับทำไม้ตีพริก (สาก) (โดยหินที่ถูกย่อยแล้วเรียกว่า “กั๊ก” เป็นขนาดแท่งสี่เหลี่ยมมีขนาดพอเหมาะสามารถนำไปสกัดเป็นครกหรือเป็นโม่ได้ กรณีกรรมวิธีการแกะสลักครกหรือ ตีครก (ภาษาท้องถิ่น) ตามแบบดั้งเดิมนั้นมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนแรก ต้องสกัด (ตัดหิน) ให้ได้หินที่เรียกว่า “หุ่น” (ก้อนหินเป็นแบบ) ก่อน ถ้าจะแกะสลักครกก็ต้องมีหุ่นครกเป็นเค้าโครงคร่าว ๆ ก่อน เป็นแบบรูปครกตามขนาดและสัดส่วนโดยรวม ซึ่งหุ่นจะใช้แกะสลักครกนั้นจะมีหลายขนาดต่างกันไปตามแต่ความคิดของช่างจะทำครกแบบไหน (ครกขา ครกโบราณ ครกฟักทอง ครกกะเบือ) มีตั้งแต่ขนาดปากกว้าง ๒ นิ้ว ไล่ไปจนถึงขนาดใหญ่สุดปากกว้าง ๑๒ นิ้ว การเริ่มต้นแกะสลักครกต้องใช้ “จ๋ำ” (เหล็กสกัด) สกัดผิวหน้าของหินให้พอเรียบเสมอกันก่อน แล้วจึงค่อยโกลนรูปด้านข้างพอให้ได้รูปร่างแบบหยาบ ๆ ของครก เสร็จแล้วใช้ “จ๋ำ” ตัวเล็กมีปลายแหลม สกัดเก็บแต่งด้านหน้าผิวหินให้เรียบขึ้น (ภาษาช่างท้องถิ่นอ่างศิลาเรียกว่า “แพ้หน้าจ๋ำ” แล้วต่อมาใช้ “พง” (มีรูปคล้ายค้อน ดูตารางที่ ๑) สับผิวหน้าให้เรียบ
ขั้นต่อไปจึงใช้ไม้ฉาก (ทำจากไม้) และ “ไม้กี๊” มาชุบหมึกจีนลากเส้นตรงตัดกันเพื่อหาศูนย์กลางให้ได้แล้วจึงนำวงเวียนไม้ไผ่ (แบบโบราณ) จุ่มหมึกจีนตั้งให้ได้ศูนย์กลางแล้วลากตามความกว้างและความยาวที่ต้องการโดยมีสายเชือกเป็นตัวกำกับระยะให้ได้ส่วน
ขั้นตอนที่สอง ใช้เหล็กสกัด (สกัด) เจาะลงไปในหุ่นที่ลากเส้นกำกับขนาดไว้ให้เป็นหลุมลงไปโดยขั้นนี้อาจใช้จ๋ำใหญ่มาสกัด พอขุดลงไปสักระยะหนึ่งพอได้ขนาดก็ใช้เหล็กสกัดที่เรียกว่า “แต้” สกัดผิวนอกครกให้เป็นทรงอย่างต้องการ และควรใช้ “กี๊” เชือกวัดวาดรอบครกเพื่อกำหนดความสูงของครก (จากปากถึงก้น) ไว้เป็นแนวสำหรับตัดก้นครกให้เรียบร้อย เพื่อตัดก้นครกพอได้ขนาดแล้วจึงใช้ “พง” สับหรือเคาะผิวให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
๔. เคล็ดลับเชิงกลวิธี การแกะสลักครกต้องเริ่มจากด้านในก่อนโดยเจาะให้เป็นหลุมลึกลงไปตามขนาดที่ต้องการ (อาศัยประกอบด้วยสายตา) เหตุที่ต้องแกะสลักจากด้านในก่อนเนื่องจากว่าหินด้านในหนากว่าด้านนอก การเจาะหินลงไปกระทำได้ยากต้องใช้แรงในการตี หากตีแรงโดยไม่ระมัดระวังอาจทำให้ครกบิ่นหรือแตกได้ง่าย หรือหากทำด้านนอกก่อนยิ่งทำให้เนื้อหินส่วนที่เป็นปากครกบางยิ่งขึ้น (เพราะควบคุมขนาดความหนาบางของปากครกไม่ได้) และเมื่อถึงขั้นตอนเจาะขุดหลุมด้านในแล้วจะทำได้ยากเป็นเท่าตัว
กรณีการขัดผิวหินให้เรียบเมื่อก่อนจะใช้หินทราย หากเป็นด้านในจะใช้ทรายใส่ลงไปในครกแล้วตำจนกว่าผิวครกด้านในจะเรียบเสมอกัน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาหลายวันกว่าผิวจะเรียบ ปัจจุบันมีเครื่องทุ่นแรงคือ “เครื่องเจียหิน” ช่วยทุ่นแรงและเวลาได้มาก ส่วนเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาแกะสลักครกควรแกะบนพื้นหญ้าด้วยมีแรงสะท้อนน้อยและกันกระแทกได้ดีกว่าพื้นไม้หรือปูน (เพราะมีแรงสะท้อนมากจะทำให้หินที่ถูกแรงตีแตกบิ่นได้ง่ายหรือจะทำให้มือที่แกะสลักแตกเป็นแผล)
สรุปผลการวิเคราะห์
การแกะสลักหิน (ครกหิน) ถือกำเนิดขึ้นจากวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นจังหวัดชลบุรี (ตำบลอ่างศิลา ตำบลเสม็ด) เมื่อช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา เป็นความต้องการมีครกหินสำหรับตำน้ำพริกมาใช้ทดแทนครกดินเผาแบบเดิมที่ไม่ทนทานและแตกหักง่าย ซึ่งการพัฒนารูปแบบของครกในระยะแรกได้รับแรงบันดาลใจมากจาก “กระถางธูปของจีน” ที่ใช้ไหว้เจ้าโดยรูปทรงของครก ในช่วงแรกครกโบราณยังคงส่วนรูปลักษณะส่วนของหูกระถางธูปไว้ ด้วยการแกะสลักเป็นปุ่มนูนเห็นได้อย่างชัดเจน ต่อมาจึงได้พัฒนารูปแบบครกออกมาเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้แก่ ครกขา ครกกะเบือ ครกฟักทอง ครกพูเกลียว เป็นต้น พร้อม ๆ ไปกับมีการนำลวดลายไทยบางแบบมาใช้ตกแต่งลงบนครกให้เกิดความสวยงามเพิ่มเติมขึ้น
กระบวนการแกะสลักครกหินช่างจะต้องมีความเข้าใจและรู้จักธรรมชาติของหินแต่ละตัว (ก้อน) ที่จะใช้แกะสลัก สามารถใช้การรับรู้ด้วยโสตประสาททดสอบตัวหินว่ามีคุณภาพเหมาะสม (แข็งแกร่งเนื้อแน่น ไม่มีรอยร้าวภายใน) ก่อนจะนำมาแกะสลัก กรณีของความเชี่ยวชาญเช่นนี้ช่างแกะสลักหินต้องใช้เวลาบ่มเพาะประสบการณ์เป็นเวลานาน จนช่างสามารถจะใช้การเรียนรู้ด้วยการฟังแยกแยะคลื่นเสียงที่เกิดบนตัวหินได้อย่างแม่นตรง ส่วนขั้นตอนการแกะสลักหินจะต้องเริ่มด้วยการขึ้นรูปโกลนรูปเป็นรูปทรง (หุ่น) ของครกแบบหยาบ ๆ ก่อน แล้วจึงวัดขนาดและขุดเจาะลงไปเป็นหลุมในส่วนกลาง พอได้ที่จึงค่อยมาตกแต่งหุ่นรูปนอกที่ขึ้นรูปไว้ให้เรียบร้อย
0 comments