อังกะลุง
การจัดทำเครื่องดนตรีไทยจากวัสดุท้องถิ่นที่มีชื่อว่า “อังกะลุง” ของนายอุบล ทิพย์โอสถ ชาวตำบลเนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นงานช่างที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก นายผาง ฤทธิ์มังกร ซึ้งได้เสียชีวิตแล้วเพื่อเป็นการสืบสานเครื่องดนตรีไทยที่มีมาแต่ช้านาน แต่กำลังจะลดเลือนหายไปถ้าขาดการอนุรักษ์
อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีไทยอีกชนิดหนึ่งที่ผลิตจากวัสดุที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย นั่นก็คือไม้ไผ่ และยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิดที่ผลิตจากไม้ไผ่ แต่อังกะลุงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกับเครืองดนตรีอื่นๆคือมีการประสานเสียงในตัวถึง ๓ เสียง มีเสียงนุ่มนวลไพเราะ อังกะลุงจัดอยู่ในประเภทเครื่องตี เพราะการเกิดเสียงเกิดจากการกระทบของกระบอกไม้ไผ่ ๓ กระบอก ได้รับอิทธิพลมาจากชวา (อินโดนีเชีย) เดิมเรียกว่า “อุงคะลุง” โดยหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เดิมใช้ไม้ไผ่ ๒ กระบอก และมีขนาดใหญ่ไม่สามารถเขย่าได้ใช้วิธีการไกว ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กและมี ๓ กระบอก และใช้การเขย่าแทนซึ่งถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่พัฒนาขึ้นอย่างเหมาะสมกับวิถีชีวิตและวัสดุที่หาได้ในประเทศไทยอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง แต่การบรรเลงอังกะลุงนั้นต้องบรรเลงเป็นทีม ๑ ชุด อย่างน้อย ๗ คู่ จึงเป็นเรื่องยุ่งยากในการบรรเลง ต่อมามีผู้คิดอังกะลุงลาวขึ้นซึ่งสามารถบรรเลงคนเดียวได้ แต่ก็ไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก จึงควรแก่การศึกษาเก็บข้อมูล เพราะปัจจุบันมีเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลต่อหมู่วัยรุ่นอย่างมากตลอดจนวิถีชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนไปจนอาจทำให้อังกะลุงซึ่งเป็นเครื่องดนตรีไทยหมดความนิยมจนเหลือแต่ตำนานในที่สุดก็เป็นได้
ดนตรีเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ให้ความงามซึ่งสัมผัสด้วยการได้ยิน ดนตรีเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มมีความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม แต่มนุษย์ก็ให้ความสำคัญกับดนตรีจะเห็นว่ามนุษญ์ทุกชาติทุกภาษาใช้ดนตรีในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ แต่ละชาติจึงคิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีที่แตกต่างกันออกไป
อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่คนไทยได้คิดึ้นโดยได้รับแบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีชวาที่ชื่อว่า “อุงคะลุง”ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งรูปร่าง ลักษณะ เสียง วิธีการบรรเลงจนเป็นอังกะลุงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นายอุบล ทิพย์โอสถ ชาวตำบลเนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เป็นช่างพื้นบ้านผู้ผลิตอังกะลุง โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากเพื่อนบ้านได้แก่นายผาง ฤทธิ์มังกร และนางลำไย เดชวิชิต ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว โดยยึดเป็นอาชีพมานานกว่า ๒๕ ปี และถ่ายทอดให้กับลูกหลาน เพื่อนบ้าน และผู้สนใจอีกด้วย
อังกะลุง ทำจากไม้ไผ่ เรียกว่าไผ่ลายที่แก่จัดและมีขนาดที่ต่างกันทั้งด้านความยาวและเส้นผ่าศูนย์กลาง เพื่อให้ได้เสียง ๓ ระดับที่ประสานกลมกลืน โดยตัดไม้ให้ด้านล่างห่างจากข้อ ๒ นิ้ว เพื่อปาด ๒ ด้านให้เป็นขาไว้ ๒ ขา เพื่อสำหรับวางลงบนลาง ด้านบนปาดคว้านด้วยมีดเพื่อเป็นหูห้อยกับคานให้แกว่งไปมาได้ และในขณะที่ปาดต้องเทียบเสียงด้วยทุกกระบอก ซึ่งการปาดเนื้อไม้ออกก็จะทำให้เสียงเปลี่ยนไป เมื่อได้ไม้ไผ่ ๓ กระบอก ๓ เสียง สูง กลาง ต่ำ จึงนำมาแขวนบนรางไม้สัก ยาว ๑ ฟุต เซาะร่องไว้ ๓ ร่อง และตั้งเสารอไว้สำหรับติดคานห้อยกระบอก นำกระบอกใหญ่วางที่ช่องแรก ติดคานขวางให้ขากระบอกลอยขึ้นเล็กน้อยแกว่งไปมาได้ แล้วตอกตะปูมัดให้แน่น ติดกระบอกกลางและเล็กเช่นเดียวกัน เป็นอันเสร็จก็จะได้อังกะลุง ๑ ตับ ติดตัวโน้ตที่อังกะลุงแต่ละตับ ติดหางนกยูงประดับธงชาติเพื่อความสวยงาม
อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีที่ต้องบรรเลงเป็นทีมจึงจะเป็นเพลง ซึ่งไม่สามารถบรรเลงเดี่ยวได้ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก จึงมีผลกระทบมาถึงงานช่างผู้ผลิตอังกะลุงที่ต้องลดน้อยตามลงไปด้วย ดังนั้นควรเก็บข้อมูลไว้ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการสูญหายได้
ดนตรี เป็นสื่อกลางแห่งความเข้าใจของคนทุกชาติที่ได้สัมผัส เสียงดนตรีทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่างได้ เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเบิกบานร่าเริง มนุษย์เรามีสมองที่ฉลาดล้ำลึกสามารถประดิษฐ์เครื่องมือที่ทำให้เกิดเสียงต่างๆได้(เครื่องดนตรี) อันได้แก่เสียง สูง กลาง เสียงต่ำ แล้วนำมาเรียบเรียงจนเกิดความไพเราะ มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของมนุษย์อย่างมาก จะเห็นได้ว่าทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ มีดนตรีด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือเครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีเป็นแหล่งกำเนิดเสียงดนตรีที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ดังนั้นในแต่ละชนชาติอาจมีความแตกต่างกันไปตามความคิด ตามสภาพแวดล้อมและวัสดุที่มีอยู่ในชาตินั้นๆ เครื่องดนตรีมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าเสียงดนตรีเพราะเครื่องดนตรีมีบทบาทในชีวิตมาก่อน ในลักษณะสื่อสาร สัญญาณต่างๆ เช่น ตีเกราะ เคาะไม้ เป่าปาก เป็นต้น จึงพัฒนาเป็นเครื่องดนตรี
ดนตรี นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินทางอารมณ์แล้วยังแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านศิลปะ วัฒนธรรมประจำชาติ เครื่องดนตรีรนอกจากจะเป็นแหล่งกำเนิดเสีนงที่มีความไพเราะแล้วยังเป็นศิลปะของแต่ละชาติที่มีรูปร่าง สีสัน ลวดลายการผลิต ตลอดจนการบรรเลงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาตินั้นๆ
อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวา (อินโดนีเซีย) แต่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงทั้งรูปร่าง และวิธีการบรรเลงจนเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างกลมกลืน
ช่างผลิตเครื่องดนตรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักดนตรี ซึ่งน้อยคนที่จะมีผู้กล่าวถึง ทำให้ศิลปะสาขานี้ลดจำนวนน้อยลงคงเหลือไว้แต่ที่สืบทอดทางสายเลือด ลูกหลาน หรือเพื่อนบ้านที่ยังรักในภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเช่นการทำอังกะลุงชาวตำบลเนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี
งานช่างฝีมือพื้นบ้านด้านเครื่องดนตรีไทย เรื่อง การผลิตและวิธีทำ “อังกะลุง” จังหวัดปราจีนบุรี เป็นงานช่างฝีมือพื้นบ้านด้านเครื่องดนตรีไทยที่ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบัน ในกลุ่มงานช่างส่วนใหญ่ก็คือ ลูกหลาน และชาวบ้านที่ว่างงาน ผลงานส่วนใหญ่ทำอังกะลุงราว ลูกค้าส่วนใหญ่ คือ โรงเรียนต่างๆ ระยะการผลิตและวิธีทำ หนึ่งตับ ใช้เวลาผลิตประมาณ ๔ ชั่วโมง
ผู้ถ่ายทอด คือ นายผาง ฤทธิ์มังกร และ นายลำไย เดชวิชิต ปัจจุบันไม่มีชีวิตแล้ว ผู้รับการถ่ายทอด คือ นายอุบล ทิพย์โอสถ ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นเวลา ๒๕ ปี และได้ถ่ายทอดต่อให้กับกลุ่มช่างผลิตอังกะลุง ได้แก่ นายคณิต ทิพย์โอสถ , นายดำรงค์ ใหม่สุวิง , นางบัวขาว ทิพย์โอสถ , นางหนูพัก แซ่อุย , นางสาวสุวรรณา กวยเลิศ , นายวิรัตน์ สรฤทธิ์ , นางอำ ใจประโคน และนางฉวี วงษ์แก้ว
ชื่อช่าง นายอุบล ทิพย์โอสถ
เกิดวันที่ - เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
ที่อยู่ บ้านเลขที่ ๒๖ หมู่ที่ ๒๐ ตำบล เนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ๒๕๒๓๐
โทรศัพท์ ๐-๗๗๓๔-๒๑๒๑
วัสดุที่ใช้ในการผลิต
๑ ไม้ไผ่ลาย
๒ รางไม้
๓ เสาอังกะลุง
๔ ไม้ขวาง
๕ เชือก , กาว
๖ สี , น้ำมันชักเงา
๑ ไม้ไผ่ลาย เป็นไม้ที่มีความแกร่ง คือมีเนื้อไม้แข็งได้ที่ จึงจะมีเสียงไพเราะ และจะต้องมีลายที่สวยงาม ตัดไม้ให้เป็นท่อนตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำมาตากแห้งย่างไม้กับไฟอ่อน ๆ นำมาอาบน้ำยากันมอด บ่มไม้โดยใช้ผ้าคลุมจะช่วยป้องกันมอดได้ หลังจากนั้นจึงนำมาเหลาแต่งเสียงตามที่ต้องการ ไม้ไผ่ลายเป็นไม้ไผ่ประเภทหนึ่ง ที่ปล่องไม้จะมีลายด่างเหมือนตกกระ เป็นโดยธรรมชาติทั่วทุกปล้อง จะเห็นลายเด่นชัดเมื่อมันแก่ เนื้อไม้ค่อนข้างบางเบาแต่แข็งแกร่ง ยิ่งแก่ก็ยิ่งแข็ง แต่โบราณช่างทำดอกไม้ไฟจะนำมาประกอบการทำดอกไม้ไฟที่มีชื่อว่า “ ช้างร้อง ”เพราะทำให้เกิดเสียง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะหาไม้ไผ่ชนิดนี้ได้ง่ายแถบชานเมืองกรุงเทพฯ ส่วนมากจะขึ้นตามป่าช้าตามวัด (ที่ฝังศพ หรือเก็บศพก่อนเผา) ต่อมาก็มีคนนำมาปลูกตามสวน แต่ในปัจจุบันจะหาดูได้ในบางท้องที่ เช่น จันทบุรี นนทบุรี ปราจีนบุรี เป็นต้น
๒ รางไม้ เดิมจะใช้ไม้สักทองขุดเป็นราง เพื่อใช้วางขาที่ฐานกระบอกลงในร่องที่ขุด ร่องที่เจาะจะมี ๓ ร่อง และรูกลมอีก ๕ รู สำหรับตั้งเสายึดตัวกระบอกอังกะลุง
๓ เสาอังกะลุง มักทำด้วยไม้ไผ่เหลาเกลาหรือกลึงจนกลมเรียบ มีความยาวตามความสูงของกระบอกอังกะลุง ขนาดโตกว่ารูที่รางเล็กน้อย
๔ ไม้ขวาง ทำจากไม้ไผ่เหลาแบน ส่วนกลางปาดเนื้อไม้เป็นร่องลึกพอประมาณ ใช้สำหรับสอดผ่านช่องกระบอกอังกะลุง เพื่อยึดตัวกระบอกกับเสา
๕ เชือก และกาว ใช้เป็นตัวยึดระหว่างไม้ขวาง กับเสา
๖ สี , น้ำมันชักเงา ใช้ตกแต่งตัวอังกะลุงให้มีความสวยงาม เป็นเงางาม
เครื่องมือที่ใช้ในการผลิต
๑ เครื่องเซาะร่องไม้
๒ เครื่องขัดกระดาษทราย
๓ เครื่องตัดไม้
๔ มีดในรูปแบบต่างๆ
๕ เครื่องเทียบเสียง
๖ เครื่องไสไม้
๗ สว่านเจาะไม้
๘ ฆ้อน , คีม
๙ เครื่องพ่นสี
ขั้นตอน กระบวนการผลิตและวิธีทำ
ขั้นที่ ๑ นำไม้ไผ่ลาย ที่ตัดมาจากกอ หรือสั่งซื้อ มาจากที่อื่นทั้งลำต้นนำไปตากแดดให้แห้ง อาบน้ำยากันมอด
ขั้นที่ ๒ ไม้ไผ่ลาย ที่ผ่านกระบวนการตากแดด อาบน้ำยา และบ่มกันมอดแล้ว นำมาตัดเป็นท่อน ๆ ตามขนาดเสียงต่ำ , เสียงกลาง และเสียงสูง อังกะลุงหนึ่งตับ เท่ากับหนึ่งตัวโน๊ต ต้องตัด ๓ ขนาด คือ กระบอกสูง กระบอกกลาง และกระบอกเล็ก ความยาวขึ้นอยู่กับขนาดของอังกะลุงที่ทำ ด้านล่างจากข้อไม้ ให้มีความยาวประมาณ ๒ นิ้วเศษ สำหรับทำขาอังกะลุง
ขั้นที่ ๓ นำไม้ไผ่ลาย ที่ตัดเป็นท่อนๆ แล้ว ตัดขา โดยใช้มีดตัดปาดลงทั้งสองด้าน เพื่อให้กระบอกไม้ไผ่มีขา ๒ ขา แล้วใช้มีดปาดตกแต่ง ให้ได้รูปทรงที่สวยงาม
ขั้นที่ ๔ นำกระบอกไม้ไผ่ ที่ตัดขาและตกแต่งแล้ว มาปาดคว้านด้วยมีด ปาดเนื้อไม้ไผ่ออกขณะที่เริ่มปาดคว้าน ให้เปิดเครื่องเทียบเสียงไปด้วย ค่อยๆ ปาดเนื้อไม้ ออกทีละน้อย เพื่อให้ได้เสียงที่ต้องการ เช่น เสียงโด ทำตั้งแต่กระบอกใหญ่ คือ เสียงต่ำ กระบอกกลาง คือ เสียงกลาง และกระบอกเล็ก คือ เสียงสูง ขณะปาดคว้านไม้ไผ่ลาย แต่ละกระบอก ต้องใช้เครื่องเทียบเทียง ทุกกระบอก จึงจะได้เสียงมาตรฐาน
ขั้นที่ ๕ รางไม้ใช้ไม้สัก สั่งซื้อแบบสำเร็จขนาดยาว ๑ ฟุต นำไม้รางที่เซาะร่อง เจาะรูแล้ว วางขนาบ ๒ ด้าน เป็นแบบในการวัด แล้วนำไม้ราง ๔ หรือ ๕ ท่อน วางตรงกลาง วางให้หัวท้ายเสมอกัน ใช้ไม้บรรทัดวางทาบ ให้ตรงรูและตรงแนวที่เซาะร่อง แล้วใช้ดินสอขีดเส้นเป็นแนว
ยาว ให้ติดเหมือนกันทุกท่อน
ขั้นที่ ๖ นำไม้รางที่ขีดเส้นไว้แล้ว ไปวางบนเครื่องเซาะร่อง ใช้แท่นเครื่องบีบให้แน่นชิดกัน เพื่อไม่ให้ไม้ขยับเขยื้อน เริ่มเปิดเครื่องกดหัวใบมีดลงที่ไม้เพื่อเซาะร่อง ที่วาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมไว้แล้ว ไม้ราง ๑ อัน จะเซาะร่อง ๓ ร่อง นำมาแต่งให้ได้รูปสี่เหลี่ยม
ขั้นที่ ๗ นำไม้รางที่เซาะร่องเรียบร้อยแล้ว ไปที่เครื่องเจาะรู เจาะรูตามเส้นที่ขีดไว้ ไม้ราง ๑ อันจะเจาะ ๕ รู
ขั้นที่ ๘ นำไม้รางที่เจาะรู เซาะร่องเสร็จแล้ว ไปที่เครื่องขัดไม้ ขัดหัวและท้าย ให้เป็นรูปวงรีและขัดให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
ขั้นที่ ๙ นำไม้รางที่เซาะร่อง เจาะรูแล้วไปใส่เสา ด้านหัวจะใส่เสา ๒ อัน ห่างกัน ๑ นิ้ว เพื่อสำหรับไว้จับเขย่าอังกะลุง ใส่เสาทั้งหมด ๕ เสา สูงไม่เท่ากัน
ขั้นที่ ๑๐ นำไม้รางที่ใส่เสาเรียบร้อยแล้ว ไปทาสีหรือจุ่มลงในสีที่เตรียมไว้ แล้วนำไป ตากแดดให้แห้ง
ขั้นที่ ๑๑ ใส่กระบอกไม้ไผ่ลายตัวแรก กระบอกใหญ่ คือ เสียงต่ำ วางกระบอกไม้ไผ่ลงในช่องรางไม้ ที่เซาะร่องไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วใช้ไม้ขวางสอดที่รูกระบอกไม้ไผ่ที่เจาะไว้ระหว่างส่วนที่คว้าน ตอกตะปูที่ไม้ขวางกับเสายึดให้แน่นสนิท ติดกระบอกกลาง และกระบอกเล็ก ยึดด้วยไม้ขวางตอกตะปูให้แน่นทุกจุด
ขั้นที่ ๑๒ นำเชือกด้ายที่เหนียวมาผูกระหว่างไม้ขวางกับเสา ตรงที่ตอกตะปู แล้วนำไปทาสีทับตรงเชือกด้ายที่ผูกอีกครั้ง และนำไปตากแดด เพื่อให้สีแห้งสนิท
ขั้นที่ ๑๓ เมื่อสีแห้งสนิท นำอังกะลุง แต่ละตับ มาวางบนราว และติดตัวอักษร คือ ตัวโน๊ต ของแต่ละตับ เรียงลำดับตัวโน๊ตให้ถูกต้อง ติดธงหรือหางนกยูง เพื่อความสวยงาม เสร็จสมบูรณ์นำไปเขย่าบรรเลงได้
ภูมิปัญญาของช่างไม้ไผ่ เป็นไม้ที่มีลักษณะเฉพาะก็คือเป็นปล้องกลวง ซึ่งมีประโยชน์ในการทำให้มีเสียงก้องกังวาน จะเห็นได้ว่ามีเครื่องดนตรีมากมายหลายชนิดที่ทำจากไม้ไผ่ อีกทั้งยังมีความอ่อนตัวเป็นสปริงไม่หักง่าย นำไปผลิตอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆได้มากมาย อังกะลุงก็เช่นเดียวกันทำจากไม้ไผ่ชื่อว่า ไผ่ลาย ลักษณะเฉพาะคือเนื้อบางและแข็งแกร่ง เมื่อเคาะจึงเกิดเสียงดังก้องกังวาน ส่วนผิวเมื่อแก่จัดจะเป็นลาย ทำให้เพิ่มความงดงามตามธรรมชาติอย่างแท้จริง อังกะลุงจัดอยู่ในประเภทเครื่องตี(เครื่องดนตรีไทยมี 4 ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า) แต่มีความแตกต่างคือ ใช้วิธีการเขย่าเพื่อให้กระบอกไปกระทบกับราวไม้แล้วเกิดเสียงขึ้น จัดให้เป็นภูมิปัญญาที่พัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่งที่มีความซับซ้อนกว่าการตีบนตัวกระบอกอย่างเกราะ กรับ หรือโกร่ง และยังสามารถประสานเสียงได้ถึง 3 เสียง เพราะกระบอก 3 กระบอกที่มีขนาดต่างกัน เสียงที่เกิดขึ้นจึงมี 3 ระดับ ซึ่งเป็นพัฒนาของเครื่องดนตรีไทย
วิธีการทางช่างใช้วิธีการง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อน ผู้ที่มีความรู้ทางช่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะปัจจุบันมีเครื่องมือไฟฟ้าที่ช่วยทุ่นแรง ทำงานง่าย รวดเร็ว แต่ยังคงมีส่วนที่ต้องใช้ความรู้ทางดนตรี, ความละเอียดอ่อน, ความประณีตและความชำนาญตรงนี้คือสิ่งที่ช่างทั่วไปต้องเรียนรู้อีกนานคือการปาดกระบอกที่ต้องเทียบเสียงไปตลอดจนกระทั่งได้ระดับเสียงที่ต้องการ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีเครื่องมือช่วยในการเทียบเสียงซึ่งก็ทำให้ช่างทำงานได้ง่ายขึ้นโอกาสผิดพลาดหรือเสียงไม่ตรง(เพี้ยน)มีน้อยมาก
การป้องกันเนื้อไม้ ไม้ไผ่เป็นอาหารของมอดเนื่องจากเยื่อไม้มีทั้งแป้ง น้ำตาลและน้ำมันภูมิปัญญาชาวบ้านจะนำไปย่างไฟเพื่อให้สารที่เป็นอาหารสลายไปและตัวมอดที่มีอยู่ตาย แต่ก็ยังมีโอกาสหลงเหลืออยู่ได้ เมื่อมีการใช้สารเคมีกำจัดแมลงจึงนำมาอาบสารเคมีและบ่มคลุมด้วยผ้าจะทำให้มอดตายหมดและยังเคลือบน้ำมันชักเงาซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความมันวาวงดงามแล้วยังเป็นการรักษาเนื้อไม้และป้องกันแมลงได้อีกด้วย
เครื่องมือทางช่างถึงแม้จะมีเครื่องมือไฟฟ้ามาช่วยหลายอย่าง แต่เครื่องมือที่ช่วยในการทำงานบางอย่างให้รวดเร็วเท่านั้น เครื่องมือช่างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้คือมีดที่มีลักษณะปลายต่าง ๆ ซึ่งใช้งานแตกต่างกันไปอีกทั้งการออกแบบด้ามเฉพาะ เพื่อความถนัดในการจับ และมีความยาวเพื่อใช้รักแร้หนีบให้เกิดความมั่นคงแม่นยำในการทำงานนี่คือภูมิปัญญาช่างที่คิดค้นขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมานานนับชั่วอายุคน
วิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีไทยเปลี่ยนแปลงไปด้วยอิทธิพลของชาติตะวันตกผู้คนให้ความสนใจกับดนตรีไทยน้อยลงโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นจึงทำให้ผู้ที่สนใจจะประกอบอาชีพด้านดนตรีไทยมีน้อยลง จะมีเฉพาะผู้ที่สนใจเป็นงานอดิเรกหรือเป็นเครื่องผ่อนคลายเพลิดเพลินเท่านั้นซึ่งก็ไม่เหมาะกับเครื่องดนตรีอังกะลุงเพราะต้องบรรเลงกันเป็นทีมไม่สามารถบรรเลงเดี่ยวได้ อาจมีการประยุกต์เป็นอังกะลุงราวแต่ก็ไม่ค่อยนิยมเท่าที่ควร ดังนั้นผู้ผลิตอังกะลุงจึงหาตลาดได้ยากลงทุกที ยังพอมีอยู่บ้างก็คือสถานศึกษาและชาวต่างชาติที่นิยมซื้อไปเป็นของที่ระลึก
วัตถุดิบไม่เพียงพอ ไม้ไผ่ลายไม่ใช่พืชเศรษฐกิจจึงมีคนปลูกน้อยทำให้ต้องสั่งจากที่อื่นบ้าง ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น
แรงงานหายากเนื่องจากจังหวัดปราจีนบุรีมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ผู้คนหันไปทำงานโรงงานเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีแรงงานที่จะช่วยผลิต ลูกหลานที่เรียนสูงขึ้นก็ไปทำงานที่อื่นกันหมด
ค่าตอบแทนที่ได้ต่ำไม่สามารถดึงดูดความสนใจให้คนหันมาทำอาชีพนี้
หน่วยงานภาครัฐไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควรในด้านการตลาดหรือสนับสนุนให้ประชากรหันมาสนใจกับเครื่องดนตรีไทย
ด้วยปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้การผลิตอังกะลุงเป็นข้อมูลที่เสี่ยงต่อการสูญหายจึงจัดเก็บข้อมูลนี้ไว้เพื่อศึกษาค้นคว้าต่อไป
0 comments